ภายในจวนองค์รัชทายาท
ฉินหมิงนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่ในห้องโถง
จ้าวสี่ขุนนางของกรมพิธีการแสดงสีหน้าราวกับคางคกขึ้นวอ พลางถ่ายทอดราชโองการของฮ่องเต้เฉียน
“ฝ่าบาทตรัสว่า หากองค์ชายจะไปยังหลิ่งหนาน ก็ให้พาคนทั้งหมดในจวนไปด้วยกัน จวนองค์รัชทายาทก็ต้องย้ายออก...”
“ที่หลิ่งหนานมีกองทัพรักษาการณ์ชายแดนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเกณฑ์คนจากเมืองหลวงไปอีก”
“อ้อ จริงสิ ยังมีเรื่องพระราชพิธีอีกนะพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากท่านเป็นฝ่ายร้องขอไปรักษาการณ์ชายแดนด้วยตนเอง ราชสำนักไม่เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน พวกเราจึงจัดการทุกอย่างให้เรียบง่ายที่สุด พิธีการที่ขุนนางทั้งหลายต้องมาส่งเสด็จก็ให้งดเว้นไป...”
จ้าวสี่คือหนึ่งในศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักของฉินหมิง
เพื่อที่จะแก้แค้นฉินหมิง เขาทุ่มเทความพยายามไปไม่น้อย
จนในที่สุดก็ได้โอกาสจากในมือของโจวหลี่ มาดูหมิ่นฉินหมิงด้วยตนเองถึงที่นี่
แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ฉินหมิงเพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ
ใบหน้าถึงกับปรากฏความคาดหวังอยู่หลายส่วน
“พูดจบหรือยัง?”
“จบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวสี่ตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ ภาพที่เขาจินตนาการไว้ว่าฉินหมิงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้เกิดขึ้น
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง
ฉินหมิงโบกมือแล้วกล่าวว่า
“เสี่ยวชุ่ย ส่งแขก”
“เพคะ องค์ชาย”
เสี่ยวชุ่ยเป็นสาวใช้ของฉินหมิง นางมีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น
ผิวพรรณขาวราวหิมะ เนียนนุ่มละเอียดอ่อน เอวบางคอดราวกับจะโอบได้ด้วยมือเดียว
แต่หลายปีมานี้ องค์รัชทายาทที่หัวโบราณคร่ำครึผู้นี้ กลับไม่เคยแตะต้องนางเลยสักครั้ง
เลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉานเสียอีก!
ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว บางทีเขาอาจจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าเสี่ยวชุ่ยก็ได้
อย่างไรเสียก็เป็นถึงองค์รัชทายาท ฐานะสูงส่ง...
ฉินหมิงคิดเช่นนี้ แต่สายตาของเขากลับมองไล่ไปตามเอวที่ส่ายไปมาของเสี่ยวชุ่ยลงไปเรื่อย ๆ
จ้าวสี่แสดงสีหน้าไม่พอใจ แล้วกล่าววาจายั่วยุต่อไป
“องค์ชาย หากท่านไม่พอใจสิ่งใด ก็สามารถกล่าวออกมาได้ทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ถึงตอนที่จะไปแล้ว ค่อยมาก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก”
ฉินหมิงที่เพิ่งได้สติเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้าอยากเห็นข้าก่อเรื่องมากนักหรือ?”
“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
จ้าวสี่รู้สึกหน้าแตก จึงหันหลังเดินออกจากจวนองค์รัชทายาทไป
แต่ทันทีที่เดินออกมาถึงถนน เขาก็เห็นหญิงสาวงดงามคนหนึ่ง ถือทวนเงินยืนอยู่หน้าประตูจวนองค์รัชทายาท
บนทวนยาวของนาง มีธงรบของค่ายทหารอู่เวยผืนหนึ่ง กำลังสะบัดพลิ้วไหวตามสายลม
ท่ามกลางผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ก็มีเหล่าคุณชายและคุณหนูจากตระกูลขุนนางชั้นสูงอยู่ไม่น้อยที่รู้เรื่องราวภายใน
“นั่นใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลกวนหรือไม่? ข้าได้ยินว่านางถูกสู่ขอให้กับองค์รัชทายาทแล้วนี่?”
“แม้ว่าองค์รัชทายาทจะหมดอำนาจแล้ว แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ อย่างไรเสียก็พอจะให้การคุ้มครองแก่ตระกูลกวนได้บ้าง”
“แม่ทัพใหญ่อู่เวยก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลกวนก็เป็นแค่ตัวถ่วง องค์รัชทายาทจะยังต้องการอีกหรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในราชสำนักยังเคยหารือกันเรื่องนี้...”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังเข้าหูของหญิงสาว
นางแสดงสีหน้าเย็นชา กล่าวกับองครักษ์ที่ประตูว่า
“ให้ฉินหมิงออกมา!”
องครักษ์หลายคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็คาดเดาได้ว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่
รีบพยักหน้ารับคำ แล้ววิ่งเข้าไปในจวนอย่างร้อนรน
จ้าวสี่ที่เข้ามาหาเรื่องแต่ก็ไม่เป็นผล ได้เห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลกวนผู้ตกอับเข้าพอดี
เขานึกถึงเรื่องการแต่งงานของฉินหมิงขึ้นมาทันที จึงเดินเข้าไปกล่าวเย้ยหยัน
โอ้ นี่ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลกวนหรอกหรือ?”
“อะไรกัน คิดจะมาแต่งงานกับองค์ชาย แล้วไปหลิ่งหนานด้วยกันหรือ?”
“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า!”
กวนเยว่แค่นเสียงเย็น จ้องมองจ้าวสี่ด้วยสายตาคมกริบ
จ้าวสี่หดคอเล็กน้อย เบ้ปากแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหนูใหญ่กวน ลืมบอกท่านไป ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทตรัสแล้วว่า จะแต่งกับท่านหรือไม่ ให้องค์รัชทายาทเป็นคนเลือกเอง”
“แม่ทัพใหญ่อู่เวยก็ตายในสนามรบไปแล้ว ตระกูลกวนก็ไร้ซึ่งรากฐานอีกต่อไป ทายสิว่าองค์รัชทายาทจะยังต้องการท่านหรือไม่?”
สีหน้าของกวนเยว่ยิ่งดูย่ำแย่ลงไปอีก
“ตระกูลกวนไม่ต้องการการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หรือการคุ้มครองใด ๆ ทั้งสิ้น! ข้ามาเพื่อถอนหมั้น!”
“ถอนหมั้น!?”
ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ต่างพากันตกตะลึง แล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่นาง
การรุมทำร้ายครั้งนี้ ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งก้านธูป
เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทางการเริ่มมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว
จ้าวสี่ก็แทบจะลุกไม่ขึ้น ฉินหมิงถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วกล่าวกับลูกน้องว่า
“พาตัวไปเถิด”
จ้าวสี่กุมใบหน้าที่บวมเป่งราวกับหัวหมู ตะโกนอย่างเดือดดาล
“องค์ชาย ข้าเป็นขุนนางของราชสำนัก ท่านทำกับข้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะทูลฟ้องฝ่าบาทหรือ!”
ฉินหมิงคาดเดาไว้แล้วว่าเขาจะพูดเช่นนี้
“เจ้าจะทูลฟ้องหรือ? ข้าก็จะทูลฟ้องเหมือนกัน! เจ้าดูหมิ่นคู่หมั้นของข้า สร้างข่าวลือว่าข้าจะถอนหมั้น ทำให้พระเกียรติของราชวงศ์เสื่อมเสีย จิตใจชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก!”
“วันนี้ที่โบยเจ้าไปถือว่าเบาแล้ว คอยดูเถอะ ข้าจะฟ้องเจ้าให้ถึงตาย!”
อย่างไรเสีย ก็กำลังจะถูกส่งไปยังหลิ่งหนานแล้ว ต้องบอกลากับไอ้พวกสารเลวในราชสำนักนี้ไปตลอดกาล
ตอนนี้ฉินหมิงอยู่ในสภาพของคนไม่มีอะไรจะเสีย
ใครก็ตามในเมืองหลวงที่มีความแค้นต่อเขา ขอเพียงแค่มีโอกาส เขาจะไม่ปล่อยให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
“ท่าน...!”
จ้าวสี่ถึงกับตกตะลึง
องค์ชายผู้ซึ่งปกติแล้วมีจิตใจเมตตากรุณา เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ยังไม่ทันจะได้สงสารจ้าวสี่ ทันใดนั้นก็มีคนในฝูงชนนึกอะไรขึ้นได้ ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“คู่หมั้น? หรือว่าองค์ชายจะแต่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลกวนหรือ?”
สายตาของกวนเยว่พลันคมปลาบ นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังฉินหมิงเช่นกัน
บรรยากาศเงียบสงัดลง
ทุกคนต่างรอคอยคำตอบของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สายตาของฉินหมิงจับจ้องอยู่ที่ร่างของกวนเยว่ ในใจรู้สึกมีความสุขราวกับดอกไม้บาน
ทันทีที่เห็นกวนเยว่ เขาก็เข้าใจในทันที!
มิน่าเล่า องค์รัชทายาทถึงไม่เคยแตะต้องเสี่ยวชุ่ยมาหลายปี
ที่แท้ก็มีเทพธิดาตัวจริงรอคอยเขาอยู่นี่เอง!
ภรรยาคนนี้ ต้องเอามาให้ได้!
ต่อหน้าสาธารณชน ฉินหมิงเดินตรงเข้าไป คว้าทวนยาวในมือของกวนเยว่มาถือไว้
เมื่อชูธงใหญ่ของค่ายทหารอู่เวยขึ้น ร่างของฉินหมิงภายใต้แสงอาทิตย์ก็ดูเจิดจ้าจนแสบตา
“คุณหนูตระกูลกวน ข้าจะแต่งกับเจ้า!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว