ฝูงชนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง!
“เขาจะแต่งจริง ๆ หรือ!?”
“หากองค์ชายแต่งงานครั้งนี้ ในอนาคตก็ยากที่จะดึงกองกำลังอื่นมาช่วยเขาได้แล้ว”
“นั่นสิ อย่างน้อยก็น่าจะหาบุตรสาวของขุนนางใหญ่สักคน เช่นนี้แล้วในอนาคตก็ยังพอจะมีกำลังสนับสนุนอยู่บ้าง”
ใบหน้าของกวนเยว่เต็มไปด้วยความลังเล ความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ก็จางหายไปไม่น้อย
อันที่จริงนางไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ฉินหมิงได้เห็นนางแล้ว เขาก็ไม่ลังเลเรื่องการแต่งงานอีกต่อไป
ก็แค่แต่งงาน จะมีเรื่องอะไรมากมายนัก
ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องไต่เต้าเกาะผู้มีอำนาจ ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หรือต้องคิดหน้าคิดหลังเสียหน่อย
ชาตินี้ ฉินหมิงขอเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ให้เสียชาติเกิดก็พอ!
“องค์ชาย ขอบพระทัยที่ทรงช่วยหม่อมฉันแก้ไขสถานการณ์ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องสงสารตระกูลกวน”
กวนเยว่มองไปยังฉินหมิงอย่างลังเล ท่าทีไม่ได้โกรธเกรี้ยวเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“ใครสงสารเจ้า?”
“เจ้าคิดว่า ข้าอยากจะแต่งงานกับเจ้า เพราะสงสารตระกูลกวนอย่างนั้นหรือ?”
“แต่ข้าก็จะต้องไปรักษาการณ์ชายแดนที่หลิ่งหนานแล้ว เจ้าไม่กลัวหรือ?”
ฉินหมิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
กวนเยว่เม้มริมฝีปากแน่น พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ฉินหมิงยกมือขึ้น ดึงเส้นด้ายสองสามเส้นออกจากธงรบของค่ายทหารอู่เวย
แล้วถักทออย่างง่าย ๆ จนกลายเป็นแหวนเส้นด้ายวงหนึ่ง
หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าบนนั้นยังมีคราบเลือดจาง ๆ จากธงรบอยู่ด้วย
นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธงผืนนี้ ถูกนำกลับมาจากสนามรบจริง ๆ
“ท่านจะทำอะไร?”
กวนเยว่เห็นฉินหมิงก้าวเข้ามาหาตนทีละก้าว ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที
“มานี่”
ฉินหมิงคว้ามือเล็ก ๆ ที่เนียนนุ่มและเย็นเฉียบของหญิงสาวไว้
แล้วสวมแหวนที่ทำจากธงรบให้แก่นางอย่างจริงจัง
กวนเยว่ก้มลงมองแหวนที่อยู่บนนิ้ว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“นี่คือของหมั้นของท่านหรือ?”
ฉินหมิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“นี่คือคำมั่นสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า”
“คำมั่นสัญญาอะไร?”
“ข้าจะทำให้ธงรบของค่ายทหารอู่เวย ได้โบกสะบัดต่อไปในสนามรบ ตระกูลกวนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาท่านอ๋องหรือขุนนางคนใด พวกเราจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเราเอง!”
“หึ ก็ดีแต่พูดจาใหญ่โต ทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด”
กวนเยว่ทำหน้าบึ้งแล้วหันไปทางอื่น แต่หัวใจกลับเต้นรัว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับองค์รัชทายาท
จะว่าอย่างไรดี...
เป็นคนที่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่เหมือนกับในข่าวลือเลยแม้แต่น้อย!
แต่ความรู้สึก... ก็ไม่เลวนัก?
คุณชายตระกูลสูงศักดิ์สองสามคนที่มุงดูอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์
อดไม่ได้ที่จะจิ๊ปากแล้วกล่าวอย่างชื่นชม
“ใช้เส้นด้ายจากธงรบมาถักทอเป็นของแทนใจ องค์ชายนี่มีของจริง ๆ นะ”
“นี่มันเหนือชั้นเกินไปแล้ว!”
“ให้ตายเถอะ ต้องเรียนรู้วิธีนี้ไว้บ้างแล้ว”
พวกเขาต่างลอบจำวิชานี้ไว้ เตรียมจะนำไปใช้เมื่อตามจีบคุณหนูตระกูลไหนสักคนในอนาคต จะได้แสดงออกมาอย่างน่าประทับใจ
“ราชสำนักไม่มีทางมอบค่ายทหารอู่เวยให้ท่านหรอก”
เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของฉินหมิงยังคงจับจ้องอยู่ที่ตนเอง
กวนเยว่ก็รีบเก็บสีหน้า ทำหน้าบึ้งแล้วกล่าวเตือนเขา
“เช่นนั้นถ้าข้าได้ค่ายทหารอู่เวยมา เจ้าจะไปหลิ่งหนานกับข้าหรือไม่?”
ฉินหมิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
กวนเยว่เบือนหน้าหนี กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“บุตรสาวตระกูลกวนไม่แต่งไปต่างแดน”
“แต่ว่าหากท่านได้ค่ายทหารอู่เวยมา... ก็อาจจะได้”
“ตกลงตามนี้?”
“ตกลงตามนี้”
...
ยามค่ำคืน ภายในตำหนักหย่างซิน
จ้าวสี่กุมใบหน้าของตน ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายอยู่ต่อหน้าเซียวซูเฟย
“เขาตีเจ้ากลางถนนจริง ๆ หรือ?”
เซียวซูเฟยขมวดคิ้ว บนใบหน้าแสดงความรังเกียจออกมา
“พ่ะย่ะค่ะ พระสนม เด็กคนนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป จู่ ๆ นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน!”
“พาลูกน้องสิบกว่าคน มารุมตีกระหม่อมจนเป็นเช่นนี้!”
“เขายังบอกว่าจะยื่นฎีกาทูลฟ้องว่ากระหม่อมใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวลือ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวซูเฟยไม่ได้ตอบรับเขา
“มีเรื่องก็ทูลมา ไม่มีก็เลิกประชุม!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูล!”
เมื่อได้รับข่าวนี้
จ้าวสี่ก็รีบก้าวออกมาทันที ในมือถือฎีกา เตรียมถวายรายงานต่อหน้าพระพักตร์
“มีเรื่องอันใด?”
จ้าวสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมสูง
“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานนี้กระหม่อมได้ไปยังจวนขององค์ชาย เพื่อถ่ายทอดพระราชประสงค์ของฝ่าบาท แต่องค์ชายกลับมีท่าทีหยิ่งยโส และไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา!”
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกระหม่อมเดินออกจากจวนอ๋องไป เขากลับเก็บความแค้นไว้ในใจ หาโอกาสก่อเรื่อง และรุมทำร้ายกระหม่อมกลางถนน!”
“กระหม่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังกัดฟันฝืนทนมาเข้าเฝ้าในวันนี้ เพียงเพื่อขอให้ฝ่าบาททรงมอบความเป็นธรรม คืนความยุติธรรมให้แก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ในฐานะปัญญาชน หลังจากที่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ความสามารถในการกลับดำเป็นขาวของจ้าวสี่ก็ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว
เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถกลับผิดเป็นถูก สลับประเด็นสำคัญ
บรรยายให้ฉินหมิงกลายเป็นองค์ชายที่ใจแคบ และเก็บความแค้นต่อราชสำนักไว้ในใจ
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนค่อย ๆ มืดมนลง
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่าเก็บความแค้นไว้ในใจและหาโอกาสก่อเรื่อง ความพิโรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที!
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ?!”
“ฝ่าบาท เมื่อวานนี้กระหม่อมก็ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในเมืองหลวงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
โอวหยางหย่วนผู้ตรวจการแห่งสำนักตรวจการ กล่าวสนับสนุนคำพูดของจ้าวสี่อย่างหนักแน่น
เฉาเจิ้งหยางแม่ทัพรักษาการณ์แห่งกองกำลังรักษาการณ์กล่าวต่อ
“เมื่อวานนี้หน้าประตูจวนขององค์ชายมีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก และได้มีปากเสียงกับใต้เท้าจ้าว ทำให้การจราจรในเมืองหลวงติดขัด เป็นกระหม่อมเองที่ต้องนำทหารหลายร้อยนายไป จึงสามารถขับไล่ฝูงชนให้สลายตัวไปได้ในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเขา ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงพระพิโรธจนถึงขีดสุด
“เจ้าสารเลวนี่!!”
“ถ่ายทอดราชโองการของเรา ลงโทษฉินหมิงงดเบี้ยหวัดสามปี กักบริเวณครึ่งปี และให้ยุบสามหน่วยพิทักษ์! ให้มีผลทันทีที่ไปถึงหลิ่งหนาน!”
“ว่ากระไรนะ!?”
การกักบริเวณและงดเบี้ยหวัดนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่การยุบสามหน่วยพิทักษ์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก!
สามหน่วยพิทักษ์คือกองกำลังสามหน่วยของอ๋องผู้ครองหัวเมือง
ตามกฎหมายของราชสำนัก เมื่ออ๋องผู้ครองหัวเมืองเดินทางไปยังที่ดินศักดินาของตน จะสามารถได้รับกองกำลังองครักษ์สามหน่วยจากราชสำนัก
นี่ถือเป็นกองกำลังพื้นฐานที่มอบให้แก่พวกเขา เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถวางรากฐานได้อย่างง่ายดายขึ้น หลังจากที่ไปถึงที่ดินศักดินา
ในอนาคตการป้องกันชายแดน ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสามหน่วยพิทักษ์นี้เช่นกัน
แต่บัดนี้ฮ่องเต้เฉียนกลับจะยุบสามหน่วยพิทักษ์ของฉินหมิง!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว