เข้าสู่ระบบผ่าน

ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว นิยาย บท 8

“พ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิงรับคำ

แล้วรีบหันหลังเดินซอยเท้าถี่ ๆ นำคนออกจากวังไปเชิญฉินหมิง

ฉินหมิงในฐานะองค์รัชทายาท เดิมทีที่พำนักของเขาควรจะอยู่ที่ตำหนักบูรพา

แต่เมื่อหลายปีก่อนเพราะลมปากของเซียวซูเฟย

ฮ่องเต้เฉียนจึงลำเอียง โดยอ้างเหตุผลว่าองค์รัชทายาทโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนในวังอีกต่อไป

ให้เขาย้ายออกจากตำหนักบูรพา เพื่อให้องค์ชายเก้า จิ้นอ๋องฉินเยว่ที่ยังทรงพระเยาว์ได้ประทับอยู่แทน

อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการศึกษาเล่าเรียน

แต่ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ต่อให้องค์ชายจะยังทรงพระเยาว์และต้องศึกษาเล่าเรียน ราชวงศ์ก็มีที่พำนักเฉพาะจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว

เหตุใดจะต้องไปใช้ตำหนักบูรพาด้วย?

ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่า นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเหล่าขุนนางของเซียวซูเฟยผู้มีจิตใจคับแคบเท่านั้น

องค์รัชทายาทในตอนนั้นช่างโอบอ้อมอารี ไม่ได้ใส่ใจกับขนบธรรมเนียมอันซับซ้อนเหล่านี้

จึงได้สละตำหนักบูรพาให้อย่างใจกว้าง

ส่วนตนเองก็ไปหาจวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฉินหมิงอาศัยอยู่หลังจากที่มาถึงโลกใบนี้

ก็เพราะการจัดการเช่นนี้ จึงทำให้การรอคอยในวันนี้ยาวนานเป็นพิเศษ

เหล่าขุนนางนั่งอยู่ในที่นั้นจนพากันง่วงเหงาหาวนอน

หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ฉินหมิงจึงได้เดินโซซัดโซเซเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับหัวหน้าขันทีซุนเหลียนอิง

แต่หลังจากที่เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ สองมือกอดอก

ทำท่าทางเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน

ซุนเหลียนอิงเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด จึงก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า

“ฝ่าบาท ฉินอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เฉียนจ้องเขม็งไปยังฉินหมิงแล้วตรัสว่า

“เจ้าช่างทำตัวใหญ่โตขึ้นทุกวันแล้ว! ปล่อยให้เราและพวกขุนนางเหล่านี้ต้องรอนาน!”

“หลังจากไม่ได้ทำงานในราชสำนักแล้ว นิสัยก็ปล่อยปละละเลยเช่นนี้แล้วหรือ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำตำหนิของเขา ฉินหมิงก็ยักไหล่ กล่าวอย่างมีความหมายแอบแฝง

“เสด็จพ่อ ใคร ๆ ก็รู้ว่า จวนของลูกอยู่ห่างจากพระราชวังมาก การเดินทางย่อมใช้เวลานานหน่อย ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ความหมายของฉินหมิงชัดเจนมาก หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เฒ่าอย่างท่านให้ข้าย้ายออกจากตำหนักบูรพา วันนี้จะปล่อยให้ท่านรอจนเหงือกแห้งได้หรือ?

มิใช่ว่าท่านทำตัวเองหรอกหรือ?

เรื่องที่เหล่าขุนนางต่างก็รู้กันดี ท่านยังมีหน้ามาอ้าปากพูดอีก?

เป็นไปตามคาด หลังจากที่ฉินหมิงพูดประโยคนี้ออกมา พระขนงของฮ่องเต้เฉียนก็ขมวดลึกยิ่งขึ้น

แต่เมื่อทรงคิดดูแล้ว ในตอนนั้นก็เป็นพระองค์เองที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเซียวซูเฟย

ในตอนนี้พระองค์จึงไม่ได้ตรัสอะไรมาก เข้าประเด็นหลักทันที

“เรื่องของกองคาราวานสินค้าหนานหยาง เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงส่ายหน้า ทำท่าทีราวกับว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตน

เฉินซื่อเม่าที่อยู่เบื้องล่างเมื่อเห็นภาพนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย

คนเราย่อมมีโทสะอยู่สามส่วน เห็นได้ชัดว่าในใจของฉินหมิงไม่พอใจ ไม่อยากจะสนใจฮ่องเต้เฉียน

ดูท่าวันนี้คงจะได้ยืมมือของฉินหมิงมาระบายความอัดอั้นตันใจแทนทุกคนแล้ว

“ซุนเหลียนอิง เจ้าบอกเขา”

เวลาที่ฮ่องเต้เฉียนตรัสกับฉินหมิง จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์พิโรธได้ง่าย

ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมที่จะตรัสกับเขาต่อ เปลี่ยนให้ขันทีข้างกายมาพูดแทน

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซุนเหลียนอิงเล่ารายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียด

หลังจากที่เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ตนเองรู้แล้ว ฉินหมิงก็ปรบมือเห็นดีเห็นงาม

“ไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น เหตุใดถึงไม่โดนกระทืบให้ตายไปเลยล่ะ?”

“บังอาจ! พูดจาอะไรของเจ้า!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ ตวาดฉินหมิงอย่างเกรี้ยวกราด

ขุนนางสองสามคนโดยรอบก็มองฉินหมิงอย่างตกตะลึง

องค์รัชทายาทปากคอเราะรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยปากพูดเรื่องกองคาราวานสินค้าหนานหยางต่อ

ฉินหมิงก็หยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสียก่อน

“เสด็จพ่อ สองวันก่อนจ้าวสี่ได้ใส่ร้ายคู่หมั้นของลูก ดูหมิ่นพระเกียรติของราชวงศ์ และยังทะเลาะวิวาทกับลูกกลางถนน ทำให้การสัญจรในเมืองหลวงติดขัด”

“หลังจากนั้นยังมาเข้าเฝ้ากลับดำเป็นขาว ใส่ร้ายป้ายสีลูก ทำให้ท่านทรงลงโทษผิดพลาด ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า...!”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนดูย่ำแย่ลง เรื่องของพระองค์ยังพูดไม่จบเลย

ฉินหมิงกลับมายื่นฎีกาฟ้องร้องก่อนแล้วหรือ?

เฉินซื่อเม่าเอ่ยปากขึ้นทันที

ทุกคนต่างเงียบกริบ

คนตรงหน้านี้ ไหนเลยจะเป็นองค์รัชทายาท

นี่มันอันธพาลชัด ๆ มิใช่หรือ?

ความหมายของเขา ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเข้าใจดี

หากไม่จัดการปัญหา เช่นนั้นก็จะยื้อกันอยู่อย่างนี้ต่อไป

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตรัสว่า

“ซุนเหลียนอิง!”

“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ส่งจ้าวสี่ไปยังกรมอาญาเพื่อรับการไต่สวน และให้ยกเลิกการลงโทษต่อฉินอ๋อง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวสี่กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว แถมยังทำผิดมหันต์อีก

จะเสียแรงไปปกป้องเขาก็ไม่มีประโยชน์อันใด

มิสู้ให้เขาได้ทำประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ฉินหมิงได้ระบายความโกรธ แล้วรีบไปจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น

“อ๊ะ... ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น ฉินหมิงนั่งกุมหน้าอกอยู่บนพื้น

“ไปได้แล้วใช่หรือไม่?”

ฮ่องเต้เฉียนทรงแค่นเสียงเย็น ตรัสถามด้วยความรังเกียจอย่างเต็มเปี่ยม

อย่างไรเสียความสัมพันธ์พ่อลูกก็มาถึงขั้นนี้แล้ว

ฉินหมิงหน้าด้านหน้าทน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไปแล้ว

“เสด็จพ่อ ลูกมิใช่องค์รัชทายาท เป็นเพียงแค่อ๋องผู้ครองหัวเมือง ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? อย่าได้ได้คืบจะเอาศอก!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงตบโต๊ะ จ้องมองเขาเขม็งด้วยความพิโรธ

ในใจของเฉินซื่อเม่ารู้สึกยินดี

หรือว่าองค์รัชทายาทจะคิดได้แล้ว

อยากจะฉวยโอกาสนี้ทวงตำแหน่งองค์รัชทายาทกลับคืน?

ฮ่องเต้เฉียนและขุนนางคนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป

“ท่านอย่าเพิ่งกริ้วเลย ลูกไม่ได้ต้องการตำแหน่งองค์รัชทายาทคืน เพียงแต่การเดินทางไปยังหลิ่งหนานครั้งนี้ มีเพียงสามหน่วยพิทักษ์นั้นน้อยเกินไปจริง ๆ ”

“ลูกอยากจะได้ค่ายทหารอู่เวยเพิ่มอีก ขอเสด็จพ่อโปรดประทานให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต้องตกตะลึงจนตาค้าง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว