เข้าสู่ระบบผ่าน

ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว นิยาย บท 9

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่น

ค่ายทหารอู่เวยเดิมทีก็เป็นกองกำลังทหารชั้นยอดของราชสำนักอยู่แล้ว

แม้ว่าจะสูญเสียกำลังพลไปมาก หลังจากติดตามแม่ทัพใหญ่อู่เวยออกรบ

และหลังจากที่เขาเสียชีวิตก็ไม่ได้มีการขยายกำลังพลเพิ่ม

แต่กองกำลังชั้นยอดเช่นนี้ จะตกไปอยู่ในมือของฉินหมิงไม่ได้

“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินหมิงไม่พูดจาไร้สาระอีก เพียงประสานมือคารวะต่อฮ่องเต้เฉียนแล้วกล่าวว่า

“เสด็จพ่อ ลูกร่างกายไม่ค่อยสบาย ขอทูลลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านทรงงานต่อไปเถิด”

พูดจบก็เดินจากไป

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนดูย่ำแย่ยิ่งนัก

ส่วนเฉินซื่อเม่ากลับมองดูทั้งหมดนี้อย่างพึงพอใจ

แม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังไม่ได้กลับคืนสู่ราชสำนัก

แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ระบายความโกรธออกมา

หลายปีมานี้ฮ่องเต้เฉียนทรงปฏิบัติต่อฉินหมิงอย่างลำเอียงเกินไปจริง ๆ

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็เห็นกันอยู่กับตา

บัดนี้ ฉินหมิงไม่มีนิสัยที่ใจกว้างจนยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่ดี

“หยุดนะ!”

ฮ่องเต้เฉียนเห็นฉินหมิงกำลังจะจากไป ก็รีบเรียกเขาไว้ทันที

“เสด็จพ่อ ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เจ้าต้องการค่ายทหารอู่เวยไปทำอะไร?”

“ลูกมิได้ต้องการ แต่เป็นการทวงคืน เดิมทีนี่ก็เป็นกองทัพของตระกูลกวนอยู่แล้ว”

“เป็นกองทัพที่ตระกูลกวนออกเงินเลี้ยงดูเอง”

ฉินหมิงกล่าวแก้ให้ถูกต้อง

“ของตระกูลกวนหรือ? ทั่วทั้งต้าเฉียนล้วนเป็นของเรา! แม้แต่ตระกูลกวนก็เป็นของเรา!”

“เจ้าในฐานะองค์ชาย สมควรจะต้องทำงานเพื่อเรา เพื่อราชวงศ์ แต่บัดนี้กลับเห็นคนนอกดีกว่าคนใน”

“เจ้าเรียนรู้จากเจ้าเก้าให้ดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือ? เอาใจใส่เราให้มากขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ?”

ฮ่องเต้เฉียนตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ค่ายทหารอู่เวยเป็นกองกำลังชั้นยอดจริง ๆ

แต่ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังชั้นยอดใด ๆ หากต้องการจะเลี้ยงดูให้ดี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

หลายปีมานี้ที่ไม่ได้ขยายกำลังพล ก็เป็นเพราะค่าใช้จ่ายของค่ายทหารอู่เวยนั้นสูงเกินไป

พวกเขาล้วนเป็นทหารม้าเกราะหนัก

ทหารหนึ่งคนมีม้าสามตัวผลัดเปลี่ยน แค่หญ้าอาหารสัตว์ก็ต้องใช้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

เหล่าทหารที่สวมเกราะหนักหลายสิบชั่ง ฝึกซ้อมแบกน้ำหนักทุกวัน ก็ต้องบริโภคเสบียงอาหารมากกว่าทหารทั่วไปถึงหนึ่งเท่า

ประกอบกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขา ก็ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งยังต้องให้ช่างฝีมือใช้เวลามหาศาลในการตีขึ้นมา

ราชสำนักมิใช่ว่าไม่อยากจะขยายกำลังค่ายทหารอู่เวยใหม่ แต่ไม่มีปัญญาจะขยายต่างหาก

นี่มันต้องใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

เพียงแค่กองกำลังที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็ทำให้ราชสำนักรู้สึกว่าเป็นเผือกร้อนแล้ว

หากมิใช่เพราะการทำสงครามในอนาคตอาจจะต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่ ฮ่องเต้เฉียนก็คงจะยุบหน่วยค่ายทหารอู่เวยไปนานแล้ว

ยังจะมาเจ้าเก้าอีก เหอะ ๆ

“แต่ด้วยสถานะการคลังของต้าเฉียน เสด็จพ่อจะทรงเลี้ยงดูไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินหมิงพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มพลางมองไปยังฮ่องเต้เฉียน

“เราเลี้ยงไม่ไหว เจ้าคิดว่าอย่างเจ้าจะรับภาระไหวหรือ?”

“หากเจ้าเลี้ยงไหว เราจะให้เจ้าแล้วจะเป็นไรไป!”

ฮ่องเต้เฉียนทรงแค่นเสียงเย็น ดูท่าว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่รู้จักประมาณตนเสียแล้ว!

คนมากมายขนาดนี้ ไม่กี่วันก็คงจะกินจนเขาล้มละลาย ถึงเวลานั้นก็ต้องกลับมาขอร้องเรามิใช่หรือ

เฉินซื่อเม่าพลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

“องค์ชาย สามหน่วยพิทักษ์ก็เพียงพอแล้ว หากมีค่ายทหารอู่เวยเพิ่มอีก ท่านจะรับภาระไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไร หลิ่งหนานกว้างใหญ่มาก คนก็เยอะ อย่างไรเสียก็ต้องมีหนทาง”

ฉินหมิงยิ้มพลางเอ่ยปาก ในใจก็สงบลงแล้ว

“จะจัดการเรื่องกองคาราวานสินค้าหนานหยางเมื่อใด?”

สามหน่วยพิทักษ์ก็ให้แล้ว ค่ายทหารอู่เวยก็ให้แล้ว

หากฉินหมิงยังจะปฏิเสธฮ่องเต้เฉียนอีก ก็คงจะดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย

“คืนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียง ฉินหมิงก็กล่าวลาแล้วจากไป

เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง ก็ไม่รู้ว่าฉางไป๋ซานไปได้รับข่าวมาจากที่ใด

ได้นำคนกลุ่มหนึ่งมารอฉินหมิงอยู่ที่นี่แล้ว

คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคือลู่โหย่ว

ทันทีที่เห็นฉินหมิงกลับมา ลู่โหย่วก็พุ่งเข้ามาหาฉินหมิงอย่างรวดเร็ว

คุกเข่าลงเสียงดังตุบ เสียงโหยหวน กล่าวระบายความทุกข์ น้ำมูกน้ำตาไหลพราก

“องค์ชาย เรื่องครั้งนี้มิใช่กระหม่อมที่ทำพังนะพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้สารเลวจ้าวสี่นั่น!”

ฉินหมิงประคองเขาให้ลุกขึ้น

“เรื่องของเจ้าเราได้ยินมาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”

“องค์ชายทรงพระปรีชา! องค์ชายทรงพระปรีชายิ่งนัก!”

ฉางไป๋ซานเดินมาจากข้างหลังแล้วกล่าวว่า

“องค์ชาย พวกเราไปดูกันหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไป”

ทั้งสามคนขี่ม้าเร็วด้วยกัน ผ่านประตูเมืองมายังท่าเรือขนส่งทางน้ำนอกเมืองหลวง

มีการแบ่งโต๊ะออกมาสองสามตัว ฉินหมิงและคนของกรมคลัง ร่วมกันตรวจสอบบัญชีกับกองคาราวานสินค้าที่ท่าเรือตลอดทั้งคืน

...

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินหมิงยืดตัวขึ้นจากโต๊ะภายในห้อง

ก็เห็นเฉียนไฉและลู่โหย่วสองสามคนนอนหลับกันระเกะระกะอยู่ข้าง ๆ

ฉินหมิงไม่รบกวนพวกเขา หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป

ฉางไป๋ซานรออยู่ข้างนอกแล้ว

เมื่อเห็นฉินหมิงตื่นขึ้น ก็รีบเดินเข้ามาอยู่ข้างกายเขา

“เจ้าไปที่กรมกลาโหมสักเที่ยว ไปเอาตราอาญาสิทธิ์ของค่ายทหารอู่เวยมา”

“หา?”

ฉางไป๋ซานเบิกตากว้าง ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉินหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอามาให้ข้าก็พอ”

“เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ตอนบ่าย หลังจากที่ฉินหมิงทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนตระกูลกวนตรงเวลา

“ฉินหมิงมาขอพบ รบกวนช่วยแจ้งให้ด้วย”

“องค์ชาย ท่านโปรดรอสักครู่”

องครักษ์ที่หน้าประตูสองสามคนต่างตกใจ

เมื่อสองวันก่อนคุณหนูใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเดินออกจากเรือนไป ไม่ถึงครึ่งวันก็กลับมาอย่างเงียบ ๆ

ไม่ได้พูดเรื่องถอนหมั้น และก็ไม่ได้พูดเรื่องแต่งงาน

ดูเหมือนว่าการแต่งงานของทั้งสองคนจะถูกพักไว้เช่นนั้น

ในตอนที่พวกเขากำลังคิดว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นนี้แล้ว

ฉินหมิงกลับมาแล้ว

คนสองสามคนเดินมาอยู่ต่อหน้านางเฉินด้วยความกังวลใจมาตลอดทาง

กล่าวเสียงเบาว่า

“ฮูหยิน ฉินอ๋องมาแล้วขอรับ”

สองสามวันนี้นางเฉินก็ไม่ได้ถามอะไรจากปากบุตรสาวได้

รู้เพียงแค่ว่าการแต่งงานนั้นยังไม่ได้ถูกยกเลิก

ในตอนนี้เมื่อได้ยินข่าวการมาถึงของฉินหมิง ก็ดูประหลาดใจอยู่บ้าง

“เขาได้นำสิ่งใดมาด้วยหรือไม่? มาเพื่อสู่ขอหรือ?”

“ไม่เลยขอรับ มาคนเดียวมือเปล่า”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่...”

นางเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย พาไปที่โถงด้านหน้า ข้าจะพบเขาก่อน”

“ขอรับ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว