ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1

สรุปบท ตอนที่ 1 นักโทษหลบหนีจากเกาะมฤตยู: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 1 นักโทษหลบหนีจากเกาะมฤตยู – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 1 นักโทษหลบหนีจากเกาะมฤตยู ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ในป่าดงดิบอันเปล่าเปลี่ยวใกล้ๆ กับตัวเมืองไป๋สุ่ย เขตฉูโจว แคว้นต้าเสวียน ปรากฏร่างผอมแห้งร่างหนึ่งเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ พร้อมกางขาสองข้างออกเพื่อที่จะนั่งลงไป

เจ้าของร่างนั้น ดูผ่านๆ แล้วเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามถึงสิบสี่ปี

รูปร่างหน้าตาดูธรรมดา แต่สีหน้าซีดขาวผิดปกติ สวมใส่เสื้อผ้าหยาบๆ หลวมโครกไม่พอดีกับขนาดตัว ข้างกายมีกระบี่เหล็กเปล่งประกายแวววับวางอยู่หนึ่งเล่ม

ด้ามกระบี่มีรอยเลือดสีดำเปื้อนอยู่

ที่หัวไหล่ด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มถูกแถบผ้าที่ไม่ทราบสีเส้นหนึ่งพันอยู่ รอยเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย

เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง ร่างพิงต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อนดูคล้ายกับว่ากำลังนอนงีบอยู่

ทันใดนั้น มีเสียง “สวบสาบ สวบสาบ” ดังขึ้นมาจากในป่าดงดิบ เสียงนั้นมุ่งมาทางที่เด็กหนุ่มอยู่อย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มสะดุ้ง ลืมตาพลิกตัวลุกขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ใช้ปลายเท้ากระโดดไปด้านข้างด้วยความชำนาญ

เสียงดัง “ตุบ”

กระบี่เล่มนั้นลอยขึ้นมาจากพื้น แล้วตกลงมาในฝ่ามือของเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มมองไปยังที่มาของเสียงนั้น จากนั้นก็วิ่งกระโดดหนีอย่างไม่ลังเลไปในทิศทางตรงกันข้าม วิ่งเพียงไม่กี่ก้าวก็หายเข้าไปในป่าดงดิบโดยไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารสวมใส่เสื้อเกราะหนาสีดำกลุ่มหนึ่ง เดินเรียงแถวกันออกมาจากในป่า

ทหารเสื้อเกราะเหล่านี้มีแค่เพียงยี่สิบกว่าคน แต่ทว่าแต่ละคนล้วนรูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าดุดันห้าวหาญ เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่ผ่านการรบมาอย่างโชกโชน

พอพวกเขาออกมาจากอีกด้านหนึ่งของป่า ในขนะนั้นก็มีเสียงคำรามต่ำออกมา ทำให้ทหารเสื้อเกราะเหล่านั้นยืนตรงอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน

ในขณะเดียวกัน ทหารหนุ่มท่าทางหนักแน่นคนหนึ่งรีบสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ย่อตัวลงไปในที่ที่เดิมที่เด็กหนุ่มเคยพัก ใช้มือพลิกหน้าดินอย่างรวดเร็ว แล้วลุกขึ้นยืนในทันที

“ท่านนายกองหวัง นักโทษเพิ่งหลบหนีไปไม่นาน ถ้าหากตอนนี้รีบตามล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสตามทัน” ทหารเสื้อเกราะผู้นี้รายงานต่อชายหัวล้านร่างยักษ์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่สวมหมวกเหล็กสีดำ

ทหารคนอื่นๆ ถึงแม้ว่ารูปร่างจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับชายร่างยักษ์ที่สูงเกือบสองจั้ง[1] ทำให้แลดูเตี้ยลงไปมาก ดูเหมือนกับเด็กน้อยที่ยืนอยู่หน้าผู้ใหญ่

“ฮึ! ไม่ต้องแล้ว ครั้งนี้เมืองหลายๆ เมืองได้ล้อมไว้หมดแล้ว เจ้าเด็กนี่ถึงแม้ว่าจะเจ้าเล่ห์ แต่ก็มิอาจหนีรอดไปได้ ทางนั้นมีนายกองซือถูดักรออยู่นานแล้ว พวกเราก็แค่รักษากำลังไว้ค่อยๆ เดินไปก็พอ” ชายร่างยักษ์พูดกับพร้อมส่งสายตามองไปทางที่เด็กหนุ่มหนีไป

“ท่านนายกอง เจ้าเด็กนี่เป็นนักโทษที่ทางการหมายหัวไว้ ถ้าหากจับเขาได้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ ท่านจะยอมปล่อยตัวไปให้นายกองซือถูแบบนี้หรือ?” หลังที่ได้ยินนายพูดแล้วทหารเสื้อเกราะรู้สึกแปลกใจและเกิดความลังเลขึ้นมา

“ผลงานชิ้นใหญ่หรือ นั่นก็ต้องดูว่าเจ้าเฒ่านั่นมีความสามารถแค่ไหน พวกเราเดินช้าลงหน่อย ไม่แน่เราอาจได้นั่งเฉยๆ รอรับผลประโยชน์ก็เป็นได้” ชายร่างยักษ์ยกมือขึ้นลูบศีรษะพูดด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

“นายท่านหมายความว่าอย่างไร ทางด้านนายกองซือถูมีคนเยอะกว่าพวกเราหน่อยหนึ่ง ต่อให้เจ้าเด็กนั้นรู้ศิลปะในการต่อสู้ก็ไม่สามารถทนอยู่ที่นั่นได้นานหรอก” ทหารหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“อวี๋ซิ่น เจ้าก็อยู่กับข้ามานานแล้ว ปกติก็ค่อนข้างองอาจห้าวหาญ แต่ถ้าหากว่าเจ้าถูกเจ้าหน้าที่ทางการรุมล้อมโจมตี ครั้งหนึ่งต้องต่อสู้กับคนหลายคนคิดว่าจะสามารถหลุดรอดปลอดภัยไปได้เหรอ ?” ชายร่างยักษ์ไม่ได้ตอบคำถามของทหารหนุ่มตรงๆ แต่ถามกลับด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกซึ้ง

“ถ้าหากเจ้าหน้าที่ฝีมือธรรมดาล่ะก็ ข้าน้อยสามารถรับมือเจ็ดแปดคนได้แบบสบายๆ แต่ถ้าเกินสิบคนขึ้นไปล่ะก็ ก็ยากที่จะเอาชีวิตรอดได้” หลังจากที่ได้ฟังนายพูดแล้ว ทหารหนุ่มยังคงตอบกลับอย่างระมัดระวัง

“เจ็ดแปดคน! เหอะๆ ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่หนีออกมาได้ เจ้าหน้าที่ที่ต้องตายด้วยเงื้อมมือของมันมีมากกว่านี้สิบเท่า” ชายร่างยักษ์หัวเราะเหอะๆ พูดขึ้นด้วยความน่าสะพรึงกลัว

“เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นต่างก็ได้รับการฝึกฝนโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าไม่อาจเทียบได้กับหน่วยพยัคฆ์ทมิฬของเราแต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถฆ่าได้โดยง่าย” ทหารหนุ่มหลุดปากพูดออกมา ใบหน้าแสดงสีหน้ายากที่จะเชื่อ

“เขาเป็นนักโทษที่หลบหนีจากเกาะมฤตยู ถึงแม้ว่าจะเด็กไปหน่อย แต่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เกาะมฤตยูนั้นเดิมทีแล้วเป็นที่กักขังนักโทษที่ชั่วช้าสามานย์ นักโทษบนเกาะแห่งนี้ล้วนมีฝีมือที่เก่งกาจยากที่จะประเมินได้” ชายร่างยักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อะไรนะ เป็นนักโทษที่หลบหนีจากเกาะมฤตยู!”

ทหารหนุ่มหายใจเข้าไปหนึ่งที ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถามกลับไปในทันที

“ข้าน้อยได้ยินมาว่าเกาะมฤตยูจมหายไปภายในเพียงชั่วข้ามคืน แต่ไม่ได้บอกว่านักโทษทั้งหมดจมไปพร้อมกับเกาะหรอกเหรอ ทำไมถึงยังมีคนหนีรอดออกมาได้ ที่นั่นคือทะเลแห่งความตายที่เลื่องลือเชียวนะ ว่ากันว่านอกจากเรือไม้ดำที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษแล้ว เรือลำอื่นมิอาจลอยลำอยู่ในน่านน้ำแห่งนี้ได้”

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้แจ้งนัก รู้แต่ว่านอกจากเจ้าเด็กนี้แล้ว ยังมีนักโทษอีกสิบกว่าคนที่หนีออกมาจากทะเลแห่งความตายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นถูกจับโดยบังเอิญแล้วถูกสอบปากคำอย่างทรมานจนได้ทราบข่าวคราวนี้ เกรงว่าราชสำนักตอนนี้อาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็อาจยังไม่สั่งการให้หน่วยพยัคฆ์ทมิฬของเราออกมาจับตัวเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามในบรรดานักโทษที่เราตามจับทั้งหมดเจ้าเด็กนี่คือคนที่อ่อนแอที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะทำทุกวิถีทาง ผ่านมาตั้งครึ่งเดือนก็ยังจับตัวเขาไม่ได้ แต่ขอเพียงให้ข้าได้เผชิญหน้ากับเขา เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” ชายร่างยักษ์สั่นหัวแล้วเอามือตบหอกยาวสีดำที่อยู่ข้างหลัง พูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ

“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ใครๆ ก็ทราบว่าท่านนายกององอาจห้าวหาญเป็นอันดับหนึ่งในร้อยของเขตฉูโจวนี้” ทหารหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่แสดงความนับถืออย่างเต็มเปี่ยม

“เลิกพูดจาประจบสอพลอซะที พวกเราควรออกเดินทางกันได้แล้ว ไป! ออกเดินทาง!” ชายร่างยักษ์โบกมือที่ใหญ่ราวใบพัด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

ทหารหนุ่มปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หันกลับไปประจำที่ของตนเอง

กองทหารทั้งกองออกเดินทางในทันที แต่ละคนค่อยๆ หายลับเข้าไปในป่า

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เมื่อเหล่ากองทหารเดินออกมาจากป่าดงดิบอีกครั้ง และปรากฏกายขึ้นที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างเล็กๆ สายตาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น

มองเห็นผ้าที่พันทบกันหลายชั้นนั้นเปียกโชกไปด้วยเลือด ในขณะเดียวกันก็เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเหมือนดังโดนควักหัวใจออกมา

ถึงแม้ว่าปกติเขาจะสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ แต่บาดแผลที่เพิ่มขึ้นมาจากการใช้พลังก็ยังไม่หายไป ทำให้เขายากที่จะทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้

หน่วยพยัคฆ์ทมิฬสมกับเป็นกองกำลังที่เกรียงไกรของแคว้นต้าเสวียนแห่งนี้ เทียบกับเจ้าหน้าที่ทางการก่อนหน้านั้นแล้วฝีมือห่างกันหลายชั้นมาก

ในตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าการสังหารของเขาก่อนหน้านี้จะทำให้หน่วยพยัคฆ์ทมิฬกองอื่นๆ เกิดความหวาดกลัวและไม่กล้าไล่ตามเขาอีก

ขอเพียงแค่วันสองวัน วิชา ‘ผนึกลมปราณ’ ที่เขาใช้ไปเมื่อครั้งก่อนก็จะกลับมาเป็นปกติ ถึงตอนนั้นเขาก็สามารถไปกระโดดโลดเต้นในแม่น้ำบริเวณนี้ได้แล้ว

เขาอายุยังน้อย แต่จริงๆ แล้วตอนอยู่บนเกาะเขาได้ฝึกเคล็ดวิชาหลายอย่างที่น้อยคนจะได้รู้จัก และได้ใช้มัน

ถ้าเขาไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาเหล่านี้แล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่าตอนอยู่บนเกาะจะมีคนคอยปกป้อง แต่ว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ในสถานที่โหดร้ายเช่นนั้นได้นานถึงเจ็ดแปดปีได้อย่างไร

พอคิดถึงเรื่องนี้ นัยน์ตาของหลิ่วหมิงก็ปรากฏภาพชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็น แม้นว่าหน้าตาของชายผู้นี้จะโหดเหี้ยมน่ากลัวเป็นอย่างมาก แต่กลับทำให้เขารู้สึกถึงความอุ่นใจ

ทันใดนั้นสีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปฉับพลัน หันตัวกลับกระโดดไปข้างหน้า บิดตัวพุ่งออกไปด้านข้าง

ในขณะเดียวกันก็มีเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” ดังขึ้น

ลูกธนูยาวครึ่งฟุตสิบกว่าดอก พุ่งตรงมาจากในป่าดงดิบ แฉลบผ่านข้างกายของเด็กหนุ่มไปปักอยู่ที่ลำต้นสีเทาขาวด้านหลัง

ลูกธนูที่พุ่งมานี้ล้วนทำจากเหล็กชั้นดี ลำธนูทะลุเข้าไปในต้นไม้กว่าครึ่งหนึ่ง โดยไม่มีเสียงดังเล็ดลอดออกมา ปลายหางของลูกธนูยังคงสั่นอย่างต่อเนื่อง

“ใคร”

เด็กหนุ่มพลิกตกลงมายังพุ่มไม้แถวนั้น ยื่นดาบยาวสีเงินไปข้างหน้า พุ่งตรงเข้าไปในป่าดงดิบคำรามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“ฝีมือไม่เลวนี่ มิน่าล่ะถึงได้ฝ่าวงล้อมของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬออกมาได้ แต่ว่าตอนนี้ดันมาเจอกับข้าสองสามีภรรยาเข้าเจ้าจะต้องตายสถานเดียว” เสียงแหลมของหญิงนางหนึ่งดังมาจากข้างหน้า พร้อมปรากฏเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่

……………………………………….

[1] จั้ง คือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้งเท่ากับ 3.33 เมตร

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา