ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 100

สรุปบท ตอนที่ 100: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 100 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 100 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 100 การต่อสู้อันดุเดือด (1)
ตอนที่ 100 การต่อสู้อันดุเดือด (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ในใจกลับนึกถึงฉากที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับปีศาจเข้าไปประชิดตัวคู่ต่อสู้ แล้วก็ใช้ดาบประหลาดจี้คอของคู่ต่อสู้ไว้ได้

ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้วิชาที่ร้ายกาจบางอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อศิษย์ทั่วไปเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ จะยอมให้เขาประชิดตัวได้ง่ายดายเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด

หลิ่วหมิงดูเหมือนไม่ขยับแต่ได้แอบร่ายคาถาเรียบร้อยแล้ว และยังถือโอกาสกระตุ้นวิชาตัวเบาแล้ว

หลังจากชายร่างผอมสูงที่ชื่อหูเฟยได้ยินผู้อาวุโสร่างท้วมประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้ เขาก็ยิ้มเยาะใส่หลิ่วหมิง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ชุดคลุมผ้าดิ้นบนตัวก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาทันที แล้วมันค่อยๆ พาร่างของชายหนุ่มจมเข้าไปในนั้น เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์แสงสีเขียว

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์อันแปลกประหลาดนี้ ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขายกแขนทั้งสองขึ้นมาอย่างไม่ลังเล

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทันที คมวายุหกเจ็ดเส้นกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไป มันแค่กะพริบไม่กี่ทีก็มาถึงด้านหน้าของมนุษย์แสง

แต่หลังจากที่หูเฟยส่งเสียงหัวเราะออกมามนุษย์แสงก็ดูลางเลือน และคมวายุก็ทะลุผ่านตัวเขาไปราวกับว่าไม่มีร่างเขาอยู่ตรงนั้น

ฉากนี้สร้างความตกใจให้กับผู้ที่ชมอยู่ด้านล่างเป็นอย่างมาก มีบางคนถึงขนาดหลุดปากอุทานออกมา

หลิ่วหมิงก็แค่ขมวดคิ้วเข้าหากัน และไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอะไรออกมา

ฉากที่คาดไม่ถึงเมื่อครู่นี้ อาจจะหลอกสายตาคนจำนวนมากได้ แต่ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้

คมวายุดูเหมือนจะทะลุผ่านร่างเขาไป แต่แท้จริงแล้วเขาสามารถหลบหลีกมันไปได้ เพียงแต่เขาหลบหลีกอย่างรวดเร็วจนทำให้คนรู้สึกว่าเขายังอยู่ที่นั่น

แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามสามารถหลบหลีกการโจมตีของคมวายุได้อย่างไม่สะทกสะท้าน มันก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

แต่ในขณะนั้นเองได้มีเสียง “ฟรึ่บ!” ดังขึ้น

มนุษย์แสงด้านหน้าดึงดาบประหลาดตรงหลังออกมา หลังจากที่กวัดแกว่งมันแล้ว เขาก็กลายเป็นเงาแสงสีเขียวกระโจนเข้ามา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกันโดยไม่แม้แต่จะคิด หลังจากที่ยกมือทั้งสองขึ้นอีกครั้งคมวายุสิบกว่าเส้นก็พุ่งออกไปทันที และต่อมาเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวนิ้วสิบ คมวายุแต่ละเส้นก็ปรากฏออกมากลางอากาศ หลังจากที่ดีดออกไปมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไปอีกครั้ง

คาดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะใช้เวลาสั้นๆ เช่นนี้ ปล่อยคมวายุออกไปได้ยี่สิบกว่าเส้น

เงาร่างมนุษย์แสงที่อยู่ไกลออกไปเพียงแค่เคลื่อนไหวไปมาครู่เดียวก็หลบหลีกคมวายุทั้งหมดได้ หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ โดยทิ้งระยะห่างไว้แค่ไม่กี่จั้ง

หลิ่วหมิงแอบตกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง โซ่สีดำราวกับอสรพิษเส้นหนึ่งดีดตัวออกไป พุ่งไปยังด้านหน้าของมนุษย์แสง

แต่มนุษย์แสงเพียงแค่หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขาแค่สะบัดดาบประหลาดในมือ แสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำก็ม้วนตัวออกไปจนทำให้โซ่ดำครึ่งหนึ่งถูกทำลายจนแตกละเอียด จากนั้นเขาก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาปล่อยลำแสงหยกพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นทันที เขาสะบัดห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือ ทันใดนั้นโล่แสงสีเหลืองได้ปรากฏออกมาตรงหน้าเขาทันที

พอลำแสงหยกเหล่านั้นปะทะกับโล่แสง มันก็ส่งเสียงดังเปาะแปะราวกับฝนที่ตกกระทบรั้วไม่ไผ่ และแตกสลายไป

ในขณะนั้นเอง มนุษย์แสงตรงหน้าก็บิดตัวเคลื่อนไหวไปมาจนเกือบจะถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิง และสามารถมองเห็นใบหน้าที่เหี้ยมโหดได้อย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที เขาแค่ขยับเท้าทั้งสองเล็กน้อย ร่างของเขาก็ไถลถอยออกไปราวกับสายน้ำไหล มืออีกข้างก็ตบลงตรงอกโดยฉับพลัน

เสียงดัง “ฟู่!”

มีจุดสีดำสามจุดปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแล้วก็กลายเป็นโล่แสงสีดำ

แต่หูเฟยที่กลายร่างเป็นมนุษย์แสงกลับไม่สนใจในสิ่งนี้ เขายังคงพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงติดๆ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาจนดาบประหลาดบนมือถูกแสงสีเขียวปกคลุมไว้ หลังจากที่โบกเบาๆ มันก็เลือนหายไปในอากาศ

ครู่ต่อมาพลันบังเกิดเสียงดังขึ้นที่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง เงาดาบสีเขียวปรากฏออกทันที และฟันลงบนโล่แสงอย่างถี่ยิบ

เพียงครู่เดียว หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น โล่สามดาวก็แตกออกมาเป็นชิ้นๆ เงาดาบพุ่งเข้ามาทันทีโดยที่ไม่มีอะไรขัดขวางไว้

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และสั่นห่วงเขี้ยวพยัคฆ์เบาๆ หัวพยัคฆ์สีเหลืองปรากฏออกมาในทันที ขณะเดียวกันมันก็พ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลนออกไป

เงาดาบด้านหน้าถูกโจมตีจนหยุดชะงักไป

ในช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงที่ยังไถลไปข้างหลังอยู่ก็ประกบมือทั้งสองเข้าหากันแล้วแยกออกจากกันโดยฉับพลัน คมวายุยักษ์ขนาดยาวหลายฉื่อก็เปล่งประกายออกมา เพียงแค่หลิ่วหมิงสะบัดแขนมันก็พุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง

พอหูเฟยเห็นคมวายุยักษ์ปรากฎออกมา ใจเขาก็รู้สึกเสียววาบ ภายใต้ความตกใจร่างมนุษย์แสงของเขาถอยห่างออกมาทันที ขณะเดียวกันก็กวัดแกว่งดาบประหลาดในมือไปยังด้านหน้า เงาดาบสีเขียวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” คมวายุยักษ์ปรากฏออกมาทำลายเงาดาบจนพังพินาศไป จากนั้นมันก็ฟันเข้าไปที่ร่างของมนุษย์แสงผู้นั้นนั้น

หูเฟยไม่คาดคิดมาก่อนว่าคมวายุยักษ์จะร้ายกาจ และเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ภายใต้ความตื่นตะลึงต่อให้เขาคิดที่หลบหลีกมันก็สายไปเสียแล้ว เขาทำได้แค่ยื่นดาบไปบังไว้ด้านหน้า มืออีกข้างคีบยันต์สีเหลืองบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ

เสียงดัง “ตู้ม!”

แน่นอนพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงนอกจากหลิ่วหมิงจะฝึกฝนมันอย่างหนักในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ทุกวันเขายังเจียดเวลาส่วนหนึ่งไปใช้ในสถานการณ์จริง และฝึกใช้มันกับศัตรูหลากหลายรูปแบบถึงสามารถใช้ได้ถึงขั้นนี้

ศิษย์ด้านล่างลานประลองยิ่งตื่นเต้นเป็นพิเศษ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบของหลิ่วหมิง และยังนำไปสู่การพูดคุยเกี่ยวกับวิชาอื่นๆ ว่าถ้าได้ผนึกประทับวิชาแล้ว มันจะมีอานุภาพร้ายกาจเพียงใด

“หยางเฉียน การประลองใหญ่ในครั้งก่อนเจ้าได้ฝึกฝนวิชากระสุนไฟจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว และยังผนึกประทับวิชาแล้วด้วย แต่การปล่อยกระสุนไฟยังช่างชั้นจากเจ้าเด็กนี้มากนัก” หยางเฉียนที่นั่งสงบมาตั้งแต่แรก พลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งที่ดังเข้ามา

หน้ากากของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปยังต้นเสียง แล้วก็พบว่าเป็นชายร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่ใต้ธงเสาที่สอง เขาจึงตอบกลับไปอย่างราบเรียบ

“เดิมทีวิชากระสุนกับวิชาคมวายุก็เป็นวิชาที่แตกต่างกัน หลังจากผนึกประทับวิชาแล้วอานุภาพที่เพิ่มขึ้นของมันก็ต่างกันเป็นอย่างมาก ความเร็วในการปล่อยวิชากระสุนไฟย่อมไม่เท่ากับคมวายุอยู่แล้ว แล้วจะมีอะไรน่าแปลกใจเล่า ว่าแต่เคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนนั้น ถึงแม้จะบอกว่าใช้ป้องกันตัว แต่จะสามารถต้านทานคมวายุของศิษย์น้องไป๋ได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่อาจพูดได้”

“ฮึ! เจ้าวางใจเถอะ! ต่อให้คมวายุของศิษย์น้องไป๋จะแข็งแกร่งกว่านี้เท่าตัว ก็ไม่อาจทำลายวิชาป้องกันตัวของข้าได้” เฟิงฉานยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ใช้สายตาอันน่าสะพรึงกลัวมองหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง

หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้บทสนทนาของพวกเขาทั้งสอง ขณะนี้เขากำลังนั่งหลับตากำหนดลมหายใจอยู่

บนแท่นประลอง หูเฟยเก็บดาบแปลกประหลาดเล่มนั้นขึ้นมา แล้วก็เดินกลับไปยังที่ของตนเองโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซือหม่าเทียนปรับเปลี่ยนสีหน้าแล้วก็ยืนขึ้นเดินมากลางแท่นประลอง จากนั้นก็กวาดสายตาพร้อมกับพูดออกไป

ถ้าศิษย์น้องเหลยไม่รังเกียจล่ะก็ ลองมาแลกมือกันหน่อยไหม”

ไม่คาดคิดว่าเป้าหมายที่เขาท้าสู้คือศิษย์ผู้มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีอย่างเหลยเจิ้น

เหลยเจิ้นได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา แล้วเดินออกมาจากใต้ธงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้าแล้วรีบประกาศออกมาทันที “เริ่มต้นการท้าสู้” หลังนั้นก็แวบออกไปจากม่านแสง

และขณะเดียวกันเหลยเจิ้นกลับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองแล้ว หลังจากที่มีดังขึ้นบนตัวเขา สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นก็พันกันออกมา และมันก็พันรอบตัวเขาราวกับอสรพิษสีเงินพร้อมกับเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

เมื่อเห็นเช่นนี้ ซือหม่าเทียนก็สะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดึงดาบสั้นสีดำเปล่งประกายแวววาวออกมา และเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไปหาเหลยเจิ้น

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา