ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 102

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 102 การต่อสู้อันดุเดือด (3)
ตอนที่ 102 การต่อสู้อันดุเดือด (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ดรุณีน้อยใบหน้างดงามยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข้ามาอยู่ห่างจากนางเจ็ดแปดจั้ง ถึงแม้จะมีแสงสีทองปกคลุมร่างอยู่ แต่เขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บจนพ่นฟองสีขาวออกมา

จนเมื่อผู้อาวุโสร่างท้วมลอยลงมาประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว ดรุณีณีน้อยใบหน้างดงามก็หมุนตัวเดินกลับไปใต้ธงเสาเดิม

ไม่ว่าจะเป็นบนลานประลองหรือด้านล่างลานประลองต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก

ตอนแรกเริ่ม ผู้ท้าชิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้รับผลกระทบจากวิชาดวงตาละเมอฝันของเจียหลานจนเคลื่อนไหวช้าลง

ถึงแม้เขาจะก้าวไปข้างหน้าโดยมีแสงจากยันต์เลี่ยงมายาคุ้มกันอยู่ แต่ทุกย่างก้าวล้วนต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก สุดท้ายเขารู้สึกเดือดดาลจนเส้นโลหิตดำตรงหน้าผากปูดบวมขึ้นมา ใบหน้าแดงฉานเป็นสีเลือด

และพอเขาเดินเข้าไปถึงตำแหน่งนี้ พลันก็พูดจาเพ้อเจ้อ พร้อมกับกวัดแกว่งสองแขนไปมาอย่างบ้าคลั่ง และสุดท้ายพลังของเขาก็เหือดแห้งจนสลบล้มลงไป

เหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้บรรดาศิษย์นิกายปีศาจต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ และทำให้เจียหลานยิ่งดูล้ำลึกจนยากจะหยั่งถึง

ผู้อาวุโสร่างท้วมได้หาหมอรักษาชายหนุ่มเล็กน้อย จากนั้นก็ให้คนหามเขาลงไป และประกาศเริ่มการท้าสู้ต่อ

ผู้ท้าสู้คนต่อมาเลือกท้าสู้กับต้วนฉานจู่ แต่สุดท้ายก็ถูกแถบผ้าสีเหลืองอันไร้เทียมทานที่ปกคลุมไปทั่วทิศพันรัดแน่นจนจำเป็นต้องยอมแพ้

ตอนนี้สือชวนถึงได้เดินขึ้นมาเลือกท้าสู้กับชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่อันดับที่แปดผู้นั้น

การประลองในครั้งก่อนหน้า ชายหนุ่มผู้นี้เคยเรียกปีศาจกระดูกขาวที่ฝึกฝนจนถึงถึงระดับ ‘ร้อยกระดูก’ ออกมา บวกกับเคล็ดวิชาระเบิดกระดูกที่เขาชำนาญ ทำให้ชิ้นส่วนกระดูกแต่ละชิ้นกลายเป็นพลังในการโจมตีศัตรู และพลังของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

มิเช่นนั้นผู้ท้าสู้ก่อนหน้านั้นคงเลือกท้าสู้กับเขาเป็นคนแรกแล้ว แต่พวกเขากลับท้าสู้หลิ่วหมิง และศิษย์ใหม่คนอื่นๆ แทน

ด้วยเหตุนี้นอกจากคนส่วนน้อยแล้ว คนส่วนมากก็ไม่เชื่อว่าสือชวนจะเอาชนะได้

แต่พอทั้งสองได้แลกมือกัน กลับทำให้ทุกคนรู้สึกตกละลึงเป็นอย่างมาก

นอกจากสือชวนจะใช้โซ่ปราบปีศาจที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเส้นนั้นปกป้องตัวแล้ว เขายังเรียกหัวปีศาจในตำนานอย่าง ‘หัวบิน’ ออกมาด้วยด้วย

หัวปีศาจตนนี้ดูคล้ายศีรษะของมนุษย์เพศชาย พอมาปรากฏออกมาก็ปล่อยคลื่นพลังปีศาจออกมาทันที หลังจากที่ผมยาวบนหัวของมันพุ่งออกไป ปีศาจกระดูกขาวตนนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังบินขึ้นไปบนฟ้ากลืนกินชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่ระเบิดออกมาจนหมดเกลี้ยง

จากนั้นหัวบินก็มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดคลุมสีเทา แล้วพอมันอ้าปากขนาดใหญ่ที่มีไอดำอันร้อนระอุพุ่งเป็นเกลียวออกมา ทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

การต่อสู้ของทั้งสองง่ายมากใช้เวลาแค่ไม่นานก็สิ้นสุดแล้ว

การต่อสู้ที่รวดเร็วเช่นนี้ บวกกับผลแพ้ชนะที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ผู้คนที่ชมอยู่ต่างก็เบิกตาอ้าปากค้างกันอีกครั้ง

พอบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกเห็นปีศาจหัวบินตนนี้ปรากฏ ต่างก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที

“จุ๊ๆ! ศิษย์พี่กุย ท่านช่างใจกล้ามากจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะมอบปีศาจหัวบินที่สาขาพวกท่านได้ปิดผนึกไว้ให้กับศิษย์ในสาขาควบคุมมัน”

“แต่พลังอันร้ายกาจของปีศาจหัวบินตนนี้ เกรงว่าในแต่ละสาขามีศิษย์แค่ไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับมันได้”

อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละสาขาต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันออกมาต่างๆ นานา

“ศิษย์น้องกุย เจ้ามอบหัวบินตนนี้ให้กับสือชวน มันจะไม่ดูประมาทเลินเล่อไปหน่อยหรือ ปีศาจหัวบินตนนี้ดูเหมือนจะเป็นรองแค่หัวปีศาจเก้าทารก ต่อให้เจ้าควบคุมมันก็ยังต้องระวังการแว้งกัดจากมัน แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจยาวแล้วถามกุยหรูฉวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ศิษย์พี่ท่านประมุขวางใจเถอะ หัวปีศาจตนนี้ถูกโซ่ปราบปีศาจล่ามวิญญาณเอาไว้ มันจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสือชวน นอกจากว่ามันสามารถจะสลัดอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้หลุดได้ไปได้เท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วพวกข้าทั้งสามจะกล้ามอบหัวปีศาจตนนี้ให้เขาใช้อย่างง่ายดายได้อย่างไร” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

การได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายของสือชวนทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา

“ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจจะร้ายกาจ แต่พลังเวทย์ของศิษย์เจ้ายังเปราะบางไปหน่อย การควบคุมหัวปีศาจตนนี้ยังคงมีอันตรายอยู่ไม่น้อย กลับไปเจ้าช่วยกำชับเขาว่าถ้าหากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ ก็ยังไม่ต้องใช้หัวบินตนนี้รับมือกับคู่ต่อสู้จะดีที่สุด” ประมุขนิกายปีศาจยังคงส่ายศีรษะเช่นเดิม

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! กลับไปข้าจะต้องกำชับเขาอย่างแน่นอน” กุยหรูฉวนได้ยินก็แอบไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ขณะนี้ ฉู่ฉีกลับขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ศิษย์พี่ท่านประมุขไม่ต้องกังวลจนเกินไป ถึงแม้หัวบินตนนี้จะร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ทุกครั้งที่ควบคุมมันก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก และด้วยโลหิตบริสุทธิ์ทั้งหมดของศิษย์จิตวิญญาณ ก็เพียงพอกับการกระตุ้นมันได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น”

“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องฉู่จะเข้าใจวิชาควบคุมใช้งานปีศาจของสาขาเรามากถึงเพียงนี้” สีหน้าของกุยหรูฉวนเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว

“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่กุยชมเกินไปแล้ว ศิษย์น้องแค่อ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาบ้างเท่านั้น” ฉู่ฉีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่กุยหรูฉวนทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

และเมื่อประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็แอบโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

เช่นนี้แล้วการท้าสู้เพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ สือชวนก็สามารถใช้หัวบินนี้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเจ้าหัวปีศาจตนนี้ให้มากนัก

การท้าสู้บนลานประลองยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่อง

แต่มาจนถึงตอนนี้ผู้ท้าสู้หลายคนที่ยังไม่ได้ออกโรง ต่างก็เริ่มขาดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ถึงแม้จะมีหลายคนที่กล้าขึ้นไปต่อสู้แต่ก็ทยอยกันพ่ายแพ้กลับมา

แม้แต่หนึ่งในนั้นก็มีคนท้าสู้กับหลิ่วหมิงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกคมวายุหลายสิบเส้นกระหน่ำโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา