หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งเก้าก็แยกกันอยู่ตามแต่จุดของเรือกระดูก บ้างก็นั่งทำสมาธิ บ้างก็ฝึกฝน โดยไม่มีการพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย
คิดไปคิดมามันก็เป็นเรื่องปกติ!
ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์แกนนำทั้งสิบได้ ย่อมเป็นผู้ที่มีความหยิ่งทะนงสูง และก็ไม่เข้าพวกกับใครง่ายๆ
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่หันศีรษะไปเล็กน้อย ก็เห็นเกาชงที่นั่งขัดสมาธิห่างจากเขาไกลๆ กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาอันเยือกเย็น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด แต่ในใจกลับมีจิตสังหารผุดลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แต่หากว่ามีโอกาสจัดการปัญหานี้ได้ในแดนลึกลับ เขาก็คงจะไม่ยอมละทิ้งไปอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเรือกระดูกลำนี้เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คุณภาพไม่ด้อยเลย ดูเหมือนว่าระดับความเร็วมันจะเร็วกว่าเรือเหาะหยกจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงเคยนั่ง
ระหว่างที่มันเหาะอยู่ ไอดำที่พวยพุ่งที่กระตุ้นมันอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็ทำให้มันเหาะไปได้ไกลถึงร้อยกว่าจั้ง
เจ็ดวันต่อมา เรือกระดูกก็พาพวกเขาเหาะมาอยู่เหนือทะเลสาบที่หลิ่วหมิงเคยมาในตอนนั้น แต่พอมันเหาะไปข้างหน้าอีกสักพักใหญ่ๆ ตำแหน่งเดิมที่เคยมีเกาะสยบมังกรในตอนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มันแทนที่ด้วยภูเขาไฟสีขาวเทาที่ผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ
ภูเขาไฟลูกนี้โผล่ออกมาจากทะเลสาบแค่ร้อยกว่าจั้ง และมีควันสีดำพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟอยู่ไม่หยุด ดูราวกับว่ามันสามารถพ่นหินละลายออกมาได้ตลอดเวลา
และบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณปล่องภูเขาไฟ ขี้เถ้าที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไปก่อนหน้านั้นได้ก่อตัวเป็นหินโสโครกขนาดต่างๆ เล็กสุดมีขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ใหญ่สุดกลับมีขนาดหลายร้อยจั้งราวกับเป็นเกาะเล็กๆ
บนหินโสโครกขนาดใหญ่สุดสองสามแห่งนั้น มีหอหินสร้งขึ้นแบบง่ายตั้งอยู่ และมีคนบางส่วนเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น
เรือกระดูกส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นก็ร่อนลงไปยังหินโสโครกแห่งหนึ่ง
ประมุขนิกายปีศาจพาทุกคนลงจากเรือกระดูก
“ประมุขนิกายปีศาจ สหายทุกท่าน พวกท่านมาช้านะ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ หอสายธารโลหิต และหุบเขาเก้าช่องของเรามาถึงกันหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวาตอัคคีที่ยังมาไม่ถึง” ไอสีเขียวสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากหินโสโครกขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หลังจากที่มันสั่นไหวชั่วครู่ก็ลอยมาอยู่เหนือหินโสโครกที่พวกหลิ่วหมิงอยู่ และปรากฏร่างชายชุดเขียวที่มีใบหน้าราวกับหยก และเขาก็กล่าวลงมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นสหายเจ้าเฮยหู่จากหุบเขาเก้าช่องนั่นเอง นิกายเราไม่เหมือนหุบเขาเก้าช่องของพวกท่านที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ย่อมต้องใช้เวลาในการเดินทางเล็กน้อย ส่วนนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิต ในเมื่อแดนลึกลับเป็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบ พวกเขาจะมาเร็วกว่าพวกข้าสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูชายชุดเขียวบนอากาศเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้ากล่าวออกมา
“มันก็ถูกของท่าน แท้จริงแล้วนิกายข้าก็มาถึงก่อนนิกายท่านแค่วันเดียวเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่ท่านประมุขของนิกายข้าอยากจะให้สหายทุกท่านมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับแดนลึกลับด้วยกัน” เจ้าเฮยหู่กล่าวขึ้นด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“เข้าใจแล้ว! รอข้าจัดการกับศิษย์ในนิกายข้าก่อน อีกสักครู่จะพาศิษย์น้องทั้งสองไปเยี่ยมเยียนประมุขนิกายของท่าน” ประมุขนิกายปีศาจย่อมฟังความหมายของอีกฝ่ายออก และรีบตอบรับด้วยสีหน้าที่ดูปกติ
เจ้าเฮยหู่ได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยค แล้วกลายเป็นไอสีเขียวเหาะกลับไปยังหินโสโครกเดิม
ขณะนี้ประมุขนิกายปีศาจให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สร้างหอหินขึ้นมาหลังหนึ่ง และให้อาจารย์อาจาง ผู้อาวุโสแซ่หวง สร้างผนึกจำกัดง่ายๆ ไว้บริเวณหินโสโครก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไปทุกอย่างก็เสร็จสรรพ ประมุขนิกายปีศาจกำชับศิษย์ทั้งหลายเล็กน้อย แล้วก็พาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเหาะไปยังหินโสโครกที่หุบเขาเก้าช่องอยู่
ศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งเจ้าไปนั่งฝึกฝนอยู่ในหอหินที่สร้างขึ้นใหม่ บางส่วนเดินสำรวจบนหินโสโครกอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่มุมหนึ่งภายในหอหิน
ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองไปเกือบครึ่งวัน ตอนที่พวกเขาเหาะมาจากทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้น มีผู้อาวุโสชุดเทามัดมวยผมสามจุกกลับมาด้วย
ผู้อาวุโสท่านนี้ดูหน้าตาธรมมดา แขนทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ มีถุงหนังสีเขียวอ่อนห้อยอยู่บนเอว กลิ่นไอเขาดูแตกต่างจากคนอื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในหอหินพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ ก็รีบนั่งเก้าอี้ตัวกลางอย่างไม่เกรงใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา