ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 109

สรุปบท ตอนที่ 109: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 109 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 109 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 109 อาจารย์ปู่เยี่ยน
ตอนที่ 109 อาจารย์ปู่เยี่ยน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตลอดการเดินทาง ประมุขนิกายปีศาจกับนักพรตวัยกลางคน และผู้อาวุโสแซ่หวงต่างก็พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลึกลับอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งเก้าก็แยกกันอยู่ตามแต่จุดของเรือกระดูก บ้างก็นั่งทำสมาธิ บ้างก็ฝึกฝน โดยไม่มีการพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย

คิดไปคิดมามันก็เป็นเรื่องปกติ!

ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์แกนนำทั้งสิบได้ ย่อมเป็นผู้ที่มีความหยิ่งทะนงสูง และก็ไม่เข้าพวกกับใครง่ายๆ

แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่หันศีรษะไปเล็กน้อย ก็เห็นเกาชงที่นั่งขัดสมาธิห่างจากเขาไกลๆ กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาอันเยือกเย็น

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด แต่ในใจกลับมีจิตสังหารผุดลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

แต่หากว่ามีโอกาสจัดการปัญหานี้ได้ในแดนลึกลับ เขาก็คงจะไม่ยอมละทิ้งไปอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าเรือกระดูกลำนี้เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คุณภาพไม่ด้อยเลย ดูเหมือนว่าระดับความเร็วมันจะเร็วกว่าเรือเหาะหยกจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงเคยนั่ง

ระหว่างที่มันเหาะอยู่ ไอดำที่พวยพุ่งที่กระตุ้นมันอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็ทำให้มันเหาะไปได้ไกลถึงร้อยกว่าจั้ง

เจ็ดวันต่อมา เรือกระดูกก็พาพวกเขาเหาะมาอยู่เหนือทะเลสาบที่หลิ่วหมิงเคยมาในตอนนั้น แต่พอมันเหาะไปข้างหน้าอีกสักพักใหญ่ๆ ตำแหน่งเดิมที่เคยมีเกาะสยบมังกรในตอนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มันแทนที่ด้วยภูเขาไฟสีขาวเทาที่ผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ

ภูเขาไฟลูกนี้โผล่ออกมาจากทะเลสาบแค่ร้อยกว่าจั้ง และมีควันสีดำพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟอยู่ไม่หยุด ดูราวกับว่ามันสามารถพ่นหินละลายออกมาได้ตลอดเวลา

และบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณปล่องภูเขาไฟ ขี้เถ้าที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไปก่อนหน้านั้นได้ก่อตัวเป็นหินโสโครกขนาดต่างๆ เล็กสุดมีขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ใหญ่สุดกลับมีขนาดหลายร้อยจั้งราวกับเป็นเกาะเล็กๆ

บนหินโสโครกขนาดใหญ่สุดสองสามแห่งนั้น มีหอหินสร้งขึ้นแบบง่ายตั้งอยู่ และมีคนบางส่วนเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น

เรือกระดูกส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นก็ร่อนลงไปยังหินโสโครกแห่งหนึ่ง

ประมุขนิกายปีศาจพาทุกคนลงจากเรือกระดูก

“ประมุขนิกายปีศาจ สหายทุกท่าน พวกท่านมาช้านะ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ หอสายธารโลหิต และหุบเขาเก้าช่องของเรามาถึงกันหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวาตอัคคีที่ยังมาไม่ถึง” ไอสีเขียวสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากหินโสโครกขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หลังจากที่มันสั่นไหวชั่วครู่ก็ลอยมาอยู่เหนือหินโสโครกที่พวกหลิ่วหมิงอยู่ และปรากฏร่างชายชุดเขียวที่มีใบหน้าราวกับหยก และเขาก็กล่าวลงมาด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นสหายเจ้าเฮยหู่จากหุบเขาเก้าช่องนั่นเอง นิกายเราไม่เหมือนหุบเขาเก้าช่องของพวกท่านที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ย่อมต้องใช้เวลาในการเดินทางเล็กน้อย ส่วนนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิต ในเมื่อแดนลึกลับเป็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบ พวกเขาจะมาเร็วกว่าพวกข้าสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูชายชุดเขียวบนอากาศเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้ากล่าวออกมา

“มันก็ถูกของท่าน แท้จริงแล้วนิกายข้าก็มาถึงก่อนนิกายท่านแค่วันเดียวเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่ท่านประมุขของนิกายข้าอยากจะให้สหายทุกท่านมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับแดนลึกลับด้วยกัน” เจ้าเฮยหู่กล่าวขึ้นด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง

“เข้าใจแล้ว! รอข้าจัดการกับศิษย์ในนิกายข้าก่อน อีกสักครู่จะพาศิษย์น้องทั้งสองไปเยี่ยมเยียนประมุขนิกายของท่าน” ประมุขนิกายปีศาจย่อมฟังความหมายของอีกฝ่ายออก และรีบตอบรับด้วยสีหน้าที่ดูปกติ

เจ้าเฮยหู่ได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยค แล้วกลายเป็นไอสีเขียวเหาะกลับไปยังหินโสโครกเดิม

ขณะนี้ประมุขนิกายปีศาจให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สร้างหอหินขึ้นมาหลังหนึ่ง และให้อาจารย์อาจาง ผู้อาวุโสแซ่หวง สร้างผนึกจำกัดง่ายๆ ไว้บริเวณหินโสโครก

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไปทุกอย่างก็เสร็จสรรพ ประมุขนิกายปีศาจกำชับศิษย์ทั้งหลายเล็กน้อย แล้วก็พาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเหาะไปยังหินโสโครกที่หุบเขาเก้าช่องอยู่

ศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งเจ้าไปนั่งฝึกฝนอยู่ในหอหินที่สร้างขึ้นใหม่ บางส่วนเดินสำรวจบนหินโสโครกอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่มุมหนึ่งภายในหอหิน

ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองไปเกือบครึ่งวัน ตอนที่พวกเขาเหาะมาจากทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้น มีผู้อาวุโสชุดเทามัดมวยผมสามจุกกลับมาด้วย

ผู้อาวุโสท่านนี้ดูหน้าตาธรมมดา แขนทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ มีถุงหนังสีเขียวอ่อนห้อยอยู่บนเอว กลิ่นไอเขาดูแตกต่างจากคนอื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในหอหินพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ ก็รีบนั่งเก้าอี้ตัวกลางอย่างไม่เกรงใจ

“อะไรนะ! มังกรแดงตนนั้นหนีเข้าไปในแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว? อาจารย์อา ท่านคงไม่ล้อเล่นหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นศิษย์แต่ละนิกายที่ส่งเข้าไปข้างในไม่เท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรอกหรือ?” ครั้งนี้อาจารย์อาจางผู้นั้นรีบกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ลนลาน

“ฮึ! เจ้าคิดว่าอาจารย์ปู่จะล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้หรือ! แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ มังกรแดงตนนั้นถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อให้หลบหนีเข้าไปในแดนลึกลับได้ ตอนนี้ก็คงจะหายใจแขม่วๆ อยู่ในนั้น คงจะไม่มีแรงกระทำการใดๆ อีก มิเช่นนั้นคงไม่ให้เด็กอย่างพวกเจ้าออกโรงหรอก ผู้อาวุโสอย่างพวกข้าไม่กี่คนก็สามารถเก็บทรัพยากรในนั้นให้หมดเกลี้ยงได้ แล้วถือโอกาสสังหารมังกรร้ายตัวนี้แล้ว จะว่าไปแล้วมังกรแดงตัวนี้ถึงจะเป็นของล้ำค่าที่สุดในแดนลึกลับแห่งนี้” อาจารย์ปู่เยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์หลานมิกล้าคิดเช่นนี้ ขออาจารย์อาอย่าได้เข้าใจผิด!” อาจารย์อาจางเพิ่งจะนึกได้ว่าอาจารย์อาเยี่ยนผู้นี้รักศักดิ์ศรีมาก เขาจึงรีบยิ้มกล่าวขอโทษ

“แต่ว่าก็โชคดีที่เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นเกรงว่านิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตคงจะเก็บงำเรื่องแดนลึกลับนี้ไว้โดยไม่บอกกับนิกายอื่น อาจารย์อา จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องดี” ผู้อาวุโสแซ่หวงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“เรื่องนี้ก็ดูมีเหตุผล แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าเกาะสยบมังกรที่นักพรตสยบมังกรทิ้งไว้แห่งนี้ นิกายเรากับหุบเขาเก้าช่องเป็นผู้ค้นพบก่อน ช่างใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนพบเจอสถานที่นี้ก่อน แต่กลับยอมให้นิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตค้นพบทางเข้าแดนลึกลับนี้ได้” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสายตามองบน

“ศิษย์น้องจูเองก็ไม่คิดว่ามีทางเข้าแดนลึกลับซ่อนอยู่ในไฟใต้พิภพนี้ อีกอย่างตอนที่มังกรร้ายตนนั้นปรากฏตัวออกมา พวกเขาเองก็หลบเกือบไม่ทัน ไหนเลยจะมีเวลาตรวจสอบบริเวณนี้อย่างละเอียด” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมา

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จูชื่อและเจ้าหนูจงนั้นก็ผิดอยู่ดีที่ยอมให้นิกายอื่นแย่งโอกาสอันดีนี้ไปก่อน รอเสร็จเรื่องนี้แล้วข้าจะตำหนิตักเตือนพวกเขาเอง” อาจารย์ปู่เยี่ยนยังคงกล่าวด้วยดวงตาทั้งคู่ที่ดูถมึงทึง

น้ำเสียงอันรุนแรงเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง และประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองก็ได้แต่สบตากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

ดีที่พวกเขารู้ว่าอาจารย์อาของพวกเขาท่านนี้เป็นคนปากแข็งใจอ่อน มิเช่นนั้นคงจะกลุ้มใจแทนจูชื่อและนักพรตจงไม่น้อย

“ใช่สิอาจารย์เยี่ยน! ตอนนี้ทางเข้าแดนลึกลับเป็นอย่างไรบ้าง จะประคับประคองไว้ได้นานแค่ไหน?” ประมุขนิกายปีศาจถามด้วยความกังวล

“สภาพการณ์ตรงทางเข้าไม่ค่อยดีมากนัก เห็นได้ชัดว่ามังกรแดงตนนั้นรู้ว่าทางเข้านี้เปราะบาง แม้กระทั่งมันอาจจะเข้าออกในนั้นไปมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นการโจมตีในครั้งนั้นทำให้ทางเข้าพังทลายลงมา ที่มันยังมั่นคงอยู่ได้เพราะว่าอาศัยพลังจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าผลัดกันใช้ของล้ำค่าประคองไว้ แต่สถานการณ์เช่นนี้สามารถประคับประคองไว้ได้นานสุดแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าหากนับรวมกับแรงสั่นไหวที่ศิษย์แต่ละนิกายเข้าออกไปด้วยล่ะก็ คงจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น” ในที่สุดอาจารย์ปู่เยี่ยนก็กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา