ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 146

สรุปบท ตอนที่ 146: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 146 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 146 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 146 สยบปีศาจ
ตอนที่ 146 สยบปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในก่อนหน้ากับการหลบหนีเมื่อครู่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตไปอย่างมาก และศีรษะของเขาก็เริ่มปวดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังบังคับจิตให้กวาดมองไปรอบด้านอยู่ไม่หยุด

ความประมาทเลินเล่อในก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่ได้มองว่าหัวบินตนนั้นใช้วิธีการใดในการหลบซ่อนตัว แต่มันยังคงอยู่ในบริเวณนี้อย่างแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจอะไรไม่ได้ มิเช่นนั้นถ้าเขาวิ่งไปชนกับดักของฝ่ายตรงข้าม อาจจะทำให้เขาไม่มีโอกาสรอดไปได้

ตอนนี้หลิ่วหมิงคาดหวังที่จะให้มีศิษย์นิกายอื่นๆ ผ่านมาเป็นอย่างมาก ขอแค่มีคนเข้ามาพัวพันกับหัวบินตนนี้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถหนีไปได้อย่างสบาย

แต่ความหวังนี้ก็สูญสลายไปหมดสิ้น

พื้นที่บริเวณรอบๆ นี้ อย่าว่าแต่จะมีคนโผล่มาเลย แม้แต่เสียงของวิหคอสูรก็ไม่ได้ยิน มีแค่เสียงลมพัดผ่านต้นไม้เพียงเบาๆ เท่านั้น

หลิ่วหมิงกระทืบเท้าในทันทีก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน ก็มีเส้นผมสีดำเกือบร้อยเส้นพุ่งยิงออกมาจากผิวหนังบริเวณลำต้นที่เขาเคยอยู่ และพุ่งไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่

แต่ตอนที่หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้านั้น พลันมีเสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้นเหนือศีรษะ ไอดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมา หลังจากที่พวกมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นหัวบินอันอัปลักษณ์ มันเพียงแค่อ้าปากก็เผยให้เห็นปากสีดำขนาดใหญ่ของมัน และพุ่งลงมาเพื่อกัดด้วยสีหน้าที่ดุร้าย

หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือโดยไม่ลังเล และลูกเปลวไฟจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป

แต่พอมีเสียงดังฟู่ๆ ออกมา ลูกเปลวไฟทั้งหมดเหล่านี้ก็เข้าไปอยู่ในปากของมันแล้ว ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่ระเบิดในทันทีแต่กลับมืดดับไป

ในระหว่างนั้นเอง หลิ่วหมิงก็บิดตัวและพุ่งลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

เสียงดัง “เพล้ง!”

เมื่อหลิ่วหมิงยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว แสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือเขา และกระบี่สั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว…

ในขณะเดียวกัน โซ่สีเงินบนแขนก็กลายเป็นเงาโบกสะบัดหมุนวนอยู่รอบตัวเขา

ในเมื่อกระบี่จันทราหยกไม่สามารถจัดการหัวบินตนนี้ได้ เขาก็ตัดสินใจเก็บมันเข้าไป เพราะว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้จะไม่ได้ผ่านการเซ่นวิญญาณหลอมสร้างขึ้นมา ทำให้ต้องใช้พลังในการควบคุมเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง

ขณะนี้ หัวบินอ้าปากคำรามและร่อนลงมา ขณะเดียวกันแสงสีดำบนต้นไม้ใหญ่ก็เปล่งประกายออกมา พร้อมกับเส้นผมยาวที่พุ่งยิงออกไปและจมหายเข้าไปในหัวบิน

หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสองด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง ในบัดดลนั้นลูกเปลวไฟยักษ์สีแดงลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันโซ่สีเงินบนตัวก็ส่งเสียงดังกังวานออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นเงาโซ่จำนวนมากพุ่งยิงไปยังปากขนาดใหญ่ที่อยู่บนอากาศ

แต่หัวบินบนอากาศกลับหัวเราะแปลกๆ ออกมา ทันใดนั้นมันก็พร่ามัวและแตกตัวเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็แตกจากสองส่วนเป็นสี่ส่วน แตกจากสี่ส่วนเป็นแปดส่วน พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงาหัวบินเกือบร้อยหัว

ภายใต้การโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งของโซ่สีเงิน มันสามารถทำลายหัวบินไปได้สิบกว่าหัว แต่หัวบินจำนวนที่มากยิ่งกว่ากลับล้อมตัวหลิ่วหมิงจนฟ้ามืดมัวดิน และยังแตกเงาของมันออกมามากขึ้นกว่าเดิม!

หลิ่วหมิงหน้าเขียวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าจะกำจัดหัวบินอย่างไรนั้น หัวบินทั้งหมดกลับส่ายไปมาก่อนที่จะมีเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า!

เส้นผมสีดำจำนวนมากกลายเป็นแสงสีดำพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทุกสารทิศ

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็โยนลูกเปลวไฟยักษ์ออกไปในทันที จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ก่อนที่โซ่สีเงินจะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายเป็นกำแพงสีเงินจางๆ ล้อมรอบตัวเขาไว้

ครู่ต่อมากำแพงสีเงินก็สั่นสะท้าน และก็มีเสียงระเบิดดังออกมาคล้ายกับเสียงของฝนตกกระทบรั้ว

ร่างหลิ่วหมิงค่อยๆ สั่นสะเทือนจนต้องถอยไปครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ตาทั้งสองกลับจ้องมองไปยังเงาของหัวบินที่อยู่ตรงทิศทางบางแห่งด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ตะโกนคำว่า “ไป” ออกมา

ในบัดดลนั้น ลูกเปลวไฟยักษ์กลางอากาศก็พุ่งไปหาเงาหัวบินตนนั้นในทันที

หัวบินตนนั้นเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวออกมา หลังจากที่มีเสียงดัง “ฟู่” มันก็กลายเป็นไอดำและหายไป

และในขณะเดียวกัน เงาหัวบินที่ลอยวนอยู่เต็มท้องฟ้าก็หายวับไปกับตา

ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกาย เขาชี้ไปยังลูกเปลวไฟยักษ์แล้วตะโกนคำว่า “ระเบิด” ออกมา จากนั้นโซ่สีเงินก็ดีดตัวออกมาก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งยิงออกไป

เสียงดัง “ตู้ม!”

ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิดตัวออกมากลางอากาศ และกลายเป็นกระสุนไฟขนาดเท่าลูกไข่ไก่หลายสิบลูกก่อนที่จะพุ่งยิงลงมาอย่างหนาแน่น มันปกคลุมพื้นที่รัศมีสิบกว่าจั้ง

เสียงดัง “เพล้ง!”

กระสุนไฟลูกหนึ่งระเบิดตัวออกมาในพื้นที่ที่ดูว่างเปล่า แต่ก็ทำให้หัวบินเผยตัวออกมาด้วยท่าทีที่ซวนเซ

ในขณะนั้นเองแสงสีเงินก็เปล่งประกายขึ้น!

โซ่ปราบปีศาจมาถึงด้านหน้าของมันราวกับรออยู่นานแล้ว จากนั้นมันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาจำนวนมากพุ่งลงมารัดพันหัวบินตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบดึงปลายโซ่ด้วยความดีใจ ภายใต้การตวัดตัวของโซ่ปราบปีศาจ มันสามารถรัดพันหัวบินไว้และดึงเข้ามาด้านหน้าเขาได้

จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ยันต์สีเหลืองสามผืนปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วมือของเขา เขาเอามันไปแปะบนหน้าผากของหัวบินด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของพลังจิต ไม่คาดคิดว่าเขาเหมือนจะสื่อสารกับจิตของหัวปีศาจนี้ได้ลางๆ

หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจที่การแสดงวิชาของเขาประสบความสำเร็จ

ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาที่เขาแสดงเมื่อครู่จะเรียบง่าย แต่เป็นการผนึกหัวปีศาจได้ดีที่สุด พอแสดงวิชาสำเร็จแล้วต่อให้เป็นหัวปีศาจเก้าทารกก็สามารถควบคุมได้

แต่เงื่อนไขเบื้องต้นของการแสดงวิชานี้คือผู้ที่แสดงวิชาต้องทำให้มันสำเร็จในครั้งเดียว โดยที่ไม่มีการต่อต้านใดๆ จากหัวปีศาจ มิเช่นนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำสำเร็จเลย

เป็นเพราะเขาเห็นหัวบินแสดงท่าทีอันน่าแปลกประหลาดนี้จึงได้ยอมเสี่ยงดูสักครั้ง ไม่คาดคิดว่าจะสยบปีศาจตนนี้ได้จริงๆ มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาคงได้แต่หนีไปไกลๆ ในช่วงที่ยันต์ยังสำแดงฤทธิ์อยู่

หลิ่วหมิงลองสื่อสารกับหัวบินอยู่หลายครั้งด้วยความดีใจ และเมื่อรู้สึกว่าตราประทับของหัวบินเชื่อมโยงกับจิตของเขาอย่างชัดเจน และไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว เขาถึงทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปกลางอากาศ

หลังจากที่มีเสียงดังขึ้น!

ตาข่ายแสงทั้งสามก็กะพริบหายไป หัวบินกะพริบตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ทะยานขึ้นมาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม

หลิ่วหมิงทดลองควบคุมให้หัวบินบินขึ้นบินลงอยู่หลายครั้ง และให้บินวนรอบตัวเขาอยู่หลายรอบ หลังจากที่เห็นมันทำตามอย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แล้วเขาก็รู้สึกวางใจ

เขาเองก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนัก จึงได้พาหัวบินเหาะจากไปในทันที

ครึ่งค่อนวันผ่านไป หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ในโพรงไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้งนั้น พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว

ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าฌาน หัวบินก็เฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกมีความสุขกับเรื่องที่เขาสามารถสยบหัวปีศาจตนนี้ได้

เสียดายที่เขาไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับสื่อสารกับหัวปีศาจโดยเฉพาะ ตอนนี้เขารู้สึกได้ลางๆ ว่าหัวปีศาจตนนี้ยำเกรงเขามาก และสามารถสั่งให้มันไปทำเรื่องง่ายๆ บางอย่างได้ แต่เขากลับไม่สามารถหาเหตุผลที่ชัดเจนในการกระทำของมันได้

ดูท่าคงต้องรอกลับไปที่นิกายแล้วหาเคล็ดวิชาสื่อสารมาฝึกฝนถึงจะหาเหตุผลที่แท้จริงได้

หลิ่วหมิงสังเกตดูหัวบินที่ว่านอนสอนง่ายไปด้วย และคิดใคร่ครวญไปด้วย

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา