อ่านสรุป ตอนที่ 148 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 148 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
และขณะนี้ ทางเข้าแดนลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดศิษย์กลุ่มสุดท้ายก็ปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ
ชายหนุ่มทระนงองอาจที่สวมชุดนิกายปีศาจก็คือเกาชงนั่นเอง
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าเกาชงชัดเจน แววตาเขาก็เปล่งประกายเย็นชาออกมาในทันที
และพอประมุขนิกายปีศาจเห็นเกาชง ความกังวลของเขาก็คลายลงในทันที จากนั้นจึงกวักมือเรียกเกาชงเข้ามาหา
“คารวะอาจารย์ อาจารย์อาจาง!” เกาชงก้าวออกไปสองสามก้าวแล้วโค้งตัวคารวะ
“ลุกขึ้นเถอะ! เจ้าไม่เป็นไรอาจารย์ก็วางใจแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจโบกมือแล้วกล่าวด้วยความดีใจ
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน มิเช่นนั้นศิษย์คงไม่มีชีวิตรอดกลับมา” เกาชงกล่าวอย่างนอบน้อม
ประมุขนิกายปีศาจได้ยินคำพูดที่น่าเอ็นดูเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ให้เขาไปยืนอยู่ด้านข้าง
เกาชงเคลื่อนไหวทีเดียวก็มายืนอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำเป็นจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ
แต่ตอนนี้เกาชงก้มหน้าหลุบตาราวกับมองไม่เห็นหลิ่วหมิง
คิ้วหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดขึ้นมา เขาถอนสายตากลับมาโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า
ตอนที่อยู่ปากทางเข้าแดนลึกลับ เกาชงมารวมตัวกับคนอื่นก่อนเขาวันหนึ่ง
แต่พอเขาเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมาอย่างปลอดภัย สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
เวลานี้ ต่อให้ทั้งสองอยากจะกำจัดฝ่ายตรงข้ามใจจะขาด แต่ก็ไม่สามารถลงมือต่อหน้าศิษย์ร่วมนิกายคนอื่นๆ ได้
ในใจทั้งสองรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอกันในแดนลึกลับ มิเช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่หายไปจากโลกนี้ ผู้อาวุโสในนิกายต่างก็ไม่มีใครสืบหามูลเหตุแต่อย่างใด
และพอออกจากแดนลึกลับแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะกำจัดอีกฝ่าย ก็ล้วนเป็นเรื่องยากแล้ว
ขณะนี้ นักพรตจางก็ถามหาคนอื่นๆ ด้วยความเป็นห่วง
แต่เมื่อหยางเฉียน เจียหลาย และคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างก็มองหน้ากันโดยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี
สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลย และก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
แต่เกาชงกลับลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เฟิงฉานถูกสัตว์ประหลาดที่ดูคล้าย ‘สือชวน’ ฆ่าต่อหน้าต่อตา
“อะไรนะ! เจ้าบอกว่าเฟิงฉานถูกสัตว์ประหลาดฆ่าต่อหน้าต่อตา และเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ก็หน้าตาเหมือนกับสือชวนไม่มีผิด เจ้าดูชัดเจนหรือยังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นคือสือชวนจริงๆ?” ประมุขนิกายปีศาจขมวดคิ้วขึ้นมา
“เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์เองก็เห็นไม่ค่อยชัด ถ้าจะบอกว่าสัตว์ประหลาดตนนี้คือศิษย์พี่สือชวน แต่พลังมันก็แข็งแกร่งมาก ทั้งยังลงมือว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ ซึ่งไม่เหมือนกับพลังที่สือชวนมีเลย ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่ แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็เหมือนกับศิษย์พี่สือชวนเป็นอย่างมาก” เกาชงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องจาง เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” ประมุขนิกายปีศาจหันหน้าไปถามนักพรตจาง
“ฟังจากที่ศิษย์หลานเกาชงพูดมาทั้งหมด ประการแรกข้าคิดว่าผู้ที่ฆ่าศิษย์หลานเฟิงคงเป็นปีศาจอสูรที่ชำนาญในวิชาแปลงร่างมาก และศิษย์หลานสือชวนที่หายไปอาจจะตายด้วยน้ำมือของมัน ดังนั้นมันถึงแปลงร่างเป็นสือชวนได้ ประการที่สองคือ หลังจากเข้าไปในแดนลึกลับแล้วศิษย์หลานสือได้เผชิญกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้น และสูญเสียการควบคุมจิตใจ ถึงได้ลงมือกับศิษย์นิกายเดียวกันอย่างบ้าคลั่ง และข้าคิดว่าประการหลังน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด อย่าลืมสิว่าศิษย์หลานสือยังพกหัวบินติดตัวด้วย เป็นไปได้ไหมว่าหัวปีศาจตนนี้หลุดจากการควบคุมจนมันแว้งกลับมากลืนกินจิตวิญญาณ และทำให้เขาเสียสติ” นักพรตจางคิดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“อืม มันเป็นไปได้ทั้งสองแบบนี้เท่านั้น เดิมทีข้าไม่เห็นด้วยกับการที่ศิษย์น้องกุยมอบหัวบินให้กับศิษย์จิตวิญญาณใช้ ต่อให้จะมีโซ่ปราบปีศาจที่ทำมาจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกคอยช่วย แต่มันก็ไม่เพียงพอ” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้ากล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“ช่างเถอะ อย่างไรซะพวกเราก็แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่สือชวนกับเฟิงฉานถูกฆ่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้เราจะไม่รู้เบาะแสของต้วนฉานจู่ หมิ่นโซ่ว และเหลยเจิ้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ส่วนใหญ่จะปลอดภัย ไม่รู้ว่าภายในระยะเวลาที่เหลือยังจะมีคนออกมาจากแดนลึกลับหรือไม่” นักพรตจางกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ
“แน่นอนสิ! โดยเฉพาะศิษย์หลานเหลยเป็นถึงร่างเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี และยังเป็นญาติของศิษย์น้องเหลย ถ้าครั้งนี้เขาเสียชีวิตอยู่ข้างในจริงๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะกลับไปอธิบายกับเขาอย่างไรดี” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจกล่าวออกมา
“ขอศิษย์พี่ท่านประมุขอย่าได้ใส่ใจมากนัก ตอนนี้นิกายของพวกเรามีศิษย์ออกจากแดนลึกลับได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว แม้กระทั่งลำดับของการทดสอบในครั้งนี้ก็อาจจะได้ลำดับที่ดีด้วย” นักพรตจางกล่าวด้วยความรู้สึกสบายใจ”
“หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ยังมีเวลาอีกครึ่งวันก่อนที่ปากทางเข้าถ้ำจะปิด พวกเจ้าจงพักผ่อนอยู่ในบริเวณนี้สักพัก รอจนเมื่อทางเข้าแดนลึกลับปิดแล้ว แต่ละนิกายก็จะมาตรวจสอบผลการเก็บเกี่ยวที่ได้แดนลึกลับ” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และกล่าวกับบรรดาศิษย์ด้วยสีหน้าปกติ
หลิ่วหมิงโค้งคารวะแล้วตอบกลับไปว่า “รับทราบ!” จากนั้นพวกเขาต่างก็หาที่นั่งเพื่อทำสมาธิเข้าฌาน
และหยางเฉียนกลับถูกประมุขนิกายปีศาจเรียกตัวไว้ จากนั้นก็เดินไปหามุมอีกมุมกับนักพรตจางแล้วเริ่มทำการสอบถามเรื่องในแดนลึกลับอย่างละเอียด
คนที่เหลือทั้งสี่ต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายชุดคลุมสีเลือดกับชื่อหยางก็พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนอีกสองท่านถึงแม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ก็ประจักษ์ชัดว่ายอมรับโดยปริยาย
มู่หรงเซวี่ยนเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นมาในทันที เขาทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นไปยังเตาหลอมยักษ์สีทอง
เสียงดัง “หวึ่งๆ!”
เตาหลอมยักษ์ลดขนาดลงมาอย่างรวดเร็วจนมีขนาดไม่กี่ชุ่น จากนั้นมันก็พุ่งกลับเข้ามาในแขนเสื้อของมู่หรงเซวี่ยน
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่และคนอื่นๆ อีกสี่คนก็หยุดปล่อยพลังเวทย์ทันที ทันใดนั้นแผ่นกลมๆ ตรงหน้าก็สั่นสะเทือนจนแตกกระจายออกมา และการส่งพลังเวทย์เข้าไปประคองทางเข้าแดนลึกลับก็สิ้นสุดลง
ด้วยเหตุนี้ทางเข้าแดนลึกลับกลางอากาศเพียงแค่สั่นไหวไม่กี่ทีก็เลือนหายไปทามกลางคลื่นอากาศที่ส่งเสียงดังกึกก้อง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็เริ่มรู้สึกเย็นสะท้าน
โชคดีที่เขามาถึงปากทางเข้าก่อนหนึ่งวัน ถ้าหากรอจนถึงเวลาสุดท้ายแล้วค่อยมาล่ะก็ คงถูกขังตายอยู่ในนั้นแล้ว ดูท่าต่อไปถ้าใครให้สัญญาอะไรไว้ก็ควรจะเชื่อหูไว้หู แต่ห้ามเชื่อทั้งหมดเด็ดขาด
ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
“เอาล่ะ! ในเมื่อทางเข้าแดนลึกลับได้ถูกปิดแล้ว ตอนนี้ให้ศิษย์ทั้งหลายนำสิ่งที่เก็บเกี่ยวออกมาได้แล้ว จะได้จัดอันดับของการทดสอบครั้งนี้ไปในตัว” เมื่อเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นว่าทางเข้าแดนลึกลับได้หายไปแล้ว ถึงได้ค่อยๆ กล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! นิกายเอกะของพวกเราไม่ต้องเข้าร่วมการจัดอันดับ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำ ต้องขอพาศิษย์ไปก่อนแล้ว” ดวงตามู่หรงเซวี่ยนค่อยๆ เป็นประกาย และลุกขึ้นกล่าวในฉับพลัน
“ช้าก่อน! สหายมู่หรงใยต้องไปอย่างเร่งรีบเช่นนี้เล่า ถึงแม้ว่าศิษย์ในนิกายท่านไม่จำเป็นต้องร่วมจัดอันดับการทดสอบในแคว้นต้าเสวียนเรา แต่ทำไมไม่ให้พวกเราดูว่าศิษย์นิกายท่านเก็บเกี่ยวได้อะไรมาบ้าง” หางตาทั้งสองของหลวงจีนหลิงอวี้ยกขึ้นมาก่อนที่เขาจะส่งเสียงห้ามไว้
“สหายหลิงอวี้ ท่านหมายความว่าอย่างไร? สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ทำไปแล้ว หรือว่าสถานะอย่างท่านยังคิดที่กลับคำพูดหรือ!” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“สหายมู่หรงเข้าใจผิดแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราแต่ละนิกายนี้จะไม่สามารถเทียบกับนิกายเอกะได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องทำเรื่องผิดสัญญาหรอก ว่าแต่สหายไม่คิดหรือว่าอย่างน้อยก็ควรจะดูให้ชัดเจนว่ามังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์ของนิกายใด จากนั้นค่อยไปก็ไม่สาย” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กลับพูดสอดแทรกเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา