ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 164

สรุปบท ตอนที่ 164: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 164 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 164 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 164 จวนตระกูลไป๋
ตอนที่ 164 จวนตระกูลไป๋
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ พลังจิตเหล่านี้ก็พุ่งไปยังทะเลจิตรับรู้ของเขา ทำให้พลังจิตของเขาพองตัวขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

“นี่คือ…”

ชั่วเวลานั้น หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องที่พลังเวทย์ถูกกลืนกินแล้วส่งผลสะท้อนให้พลังเวทย์เขาบริสุทธิ์ขึ้นมา

เหตุการณ์นี้เหมือนกับที่เขานึกไว้ แต่ผลสะท้อนครั้งนี้กลับไม่ใช่พลังเวทย์ แต่เป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก

ส่วนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรนั้น หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็นึกถึงห้องจิตรับรู้ที่สร้างมาจากพลังจิตของปรมาจารย์ลิ่วยินในขณะที่ถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีเทากลืนกินเข้าไป ทำให้เขาเข้าใจในฉับพลัน

แต่ความคิดเหล่านี้ก็เป็นแค่ความคิดผ่านๆ พลังจิตที่โหมกระหน่ำเข้ามาในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างละเอียด เขาได้แต่พยายามทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจที่เขาเพิ่งฝึกฝนไปได้ไม่นาน เพื่อปกป้องการรับรู้ของจิตที่เหลืออยู่ไม่ให้โดนพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้ทำลาย

แต่พอเขายิ่งรักษาการรับรู้ของจิตไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังจิตของตนเองยิ่งแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง ผ่านไปไม่นานมันก็ทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมสามเท่า

พลังจิตที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลนี้ ถึงแม้เขาจะใช้เคล็ดวิชาใจปีศาจปกป้องการรับรู้ของจิตไว้ แต่ก็ยังคงทำให้ศีรษะของเขารู้สึกหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน สีหน้าขาวซีดจนยากจะหาที่เปรียบได้ เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาบริเวณหน้าผากทั้งสองด้าน โลหิตสีดำไหลออกมาจากประสาทสัมผัสทั้งห้า

ขณะนี้เขาได้ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังตั้งแต่แรกแล้ว และในสถานการณ์เร่งรีบเช่นนี้ เขาแบ่งจิตเป็นสองส่วนกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจพร้อมกัน เพื่อต้านทานการจู่โจมของพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้

ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็พลันตะโกนเสียงต่ำออกมา เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนทำให้โพรงทั้งโพรงสั่นไหว จากนั้นร่างของเขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนที่จะสลบไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกถึงกลิ่นคาวจางๆ ในปาก เขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

แต่ชั่วพริบตาที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นสีแดงจางๆ

เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่น้ำสะอาดจะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากใช้นิ้วจิ้มเข้าไปมันก็ไหลลงมาเป็นสาย

เขาแหงนหน้าล้างคราบเลือดออกไปจนหมด จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้งเพื่อทำให้ร่างกายเกิดไอร้อนขึ้นมา และเสื้อผ้าก็กลับมาแห้งอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะใช้นิ้วนวดขมับสองข้างเบาๆ

เหตุการณ์ในก่อนหน้านี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาฝืนต้านทานไว้อย่างยากลำบาก และพลังจิตเหล่านั้นไม่ได้โหมกระหน่ำในขณะที่เขาสลบไปล่ะก็ เกรงว่าศรีษะของเขาคงจะต้องระเบิดออกมาจริงๆ

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกว่าทะเลจิตรับรู้ของเขาขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสามถึงสี่เท่า ดูเหมือนว่าพลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านั้นจะอยู่เต็มทุกพื้นที่ในทะเลจิตรับรู้ของเขา การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดศีรษะเบาๆ ได้

ดูเหมือนว่าถ้าเขาอยากจะควบคุมพลังจิตเหล่านี้ให้ได้อย่างใจนึก คงต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับมัน

แต่อย่างไรก็ตาม พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้คงไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปอย่างแน่นอน

หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบนำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่างแล้วกวาดดูทะเลจิตวิญญาณ

แน่นอนว่าฟองอากาศลึกลับนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

หลิ่วหมิงเรียกจิตกลับมา และใช้มือลูบคางไปมาราวกับคิดอะไรอยู่

ดูท่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก พลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการกลืนกินห้องจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยินจริงๆ

แต่ผลสะท้อนกลับเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีระยะห่างของเวลาหลายวัน มันช่างแตกต่างกับการสะท้อนกลับของพลังเวทย์ยิ่งนัก

ต่อไปถ้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น

ครั้งนี้ถือว่าดวงดีที่มันไม่ทำให้ศีรษะเขาระเบิดออกมา ครั้งหน้าอาจจะไม่ดวงนี้อย่างนี้ก็ได้

แต่จะว่าไป! ถ้าใช้วิธีการนี้ได้ถูกวิธีกลับสามารถทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ความยั่วยวนนี้ทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้

แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงฉากอันน่ากลัวที่พลังจิตอัดแน่นอยู่เต็มศีรษะแล้ว ก็รู้สึกเสียวสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ไปก่อน

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาจะหาห้องจิตรับรู้แบบนั้นได้จากไหน ต่อให้มีโอกาสเช่นนี้จริงๆ แต่ถ้ายังไม่มีแผนการรับมือที่ดีพอ เกรงว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย

ต่อมาหลิ่วหมิงก็ตรวจสอบดูส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลังจากไม่พบว่ามีอะไรเสียหาย เขาก็ทำท่ามือเข้าฌานด้วยความสบายใจ

“ข้ามาแล้ว? คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าหยอกล้อข้าเล่น!” ข้ารับใช้อ้วนดำรับป้ายหยกไว้ได้ แต่คำพูดของหลิ่วหมิงในตอนท้ายทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไป

อย่างที่รู้ว่าช่วงสองเดือนนี้อิทธิพลของตระกูลไป๋เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้ข้ารับใช้เหล่านี้ก็พลอยได้หน้าไปด้วย เวลาไปเดินข้างนอกไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเขา ตอนนี้อยู่ๆ ก็มีชายหนุ่มเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังพูดคำพูดที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกโกรธขึ้นมา

เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินก็เพียงแค่จ้องมองข้ารับใช้อ้วนดำด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็ถอยไปหนึ่งก้าว

“เจ้าจะทำอะไร คิดว่าถอยไปเล็กน้อยแล้วข้าจะไม่กล้า…เอาเถอะ! ท่านรอสักครู่ ข้าจะส่งป้ายหยกเข้าไปในจวนเดี๋ยวนี้” ข้ารับใช้อ้วนดำกล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย แต่พอมองไปยังพื้นที่ที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ ใบหน้าก็ซีดขาวลง และยังพูดจาติดอ่างด้วย

ข้ารับใช้อีกสามคนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอมองไปบนพื้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่รู้ว่ามีรอยเท้าลึกสองรอยปรากฏอยู่บนพื้นหินสีดำมันขลับตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยเท้านี้ลึกชุ่นกว่าๆ มองเห็นได้อย่างแจ่มชัด ราวกับว่าช่างหินตั้งใจแกะสลักมันมา

ข้ารับใช้ของตระกูลไป๋เหล่านี้ ย่อมเคยสัมผัสกับผู้ฝึกปราณมาแล้ว และพวกเราจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงดูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงจ้องมองชายอ้วนดำถือป้ายหยกเข้าประตูใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว และตัวเขาเองก็ยืนรอหน้าประตูอย่างเงียบๆ

เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป!

พลันมีเสียงกลองและดนตรีดังมาจากในจวนตระกูลไป๋ ตามด้วยเสียงต้อนรับอันไพเราะ ข้ารับใช้แต่งกายเรียบร้อยเดินเรียงกันมาเป็นสองแถว จากนั้นชายชราผมขาวก็เดินออกมาจากในจวน หลังจากที่เขาเขม้นตามองมาก็พบกับหลิ่วหมิงที่ยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่ เขารีบเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม และโค้งตัวกล่าวอย่างนอบน้อม

“นายน้อยชงเทียน ในที่สุดท่านก็กลับมา หลายวันก่อนนายท่านกับคุณหนูยังพูดกันอยู่เลยว่าในช่วงนี้ท่านอาจจะกลับจวน คิดไม่ถึงว่าวันนี้ข้าน้อยจะได้เห็นนายน้อยจริงๆ ถ้าหากว่านายท่านกับคุณหนูรู้เข้าคงจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”

“ท่านคือใคร รู้จักข้าหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“นายน้อยล้อข้าน้อยเล่นแล้ว ข้าน้อยไป๋ผานไง! ข้าน้อยเห็นท่านตั้งแต่เล็กจนโต” ชายชรายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา