“นี่คือ…”
ชั่วเวลานั้น หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องที่พลังเวทย์ถูกกลืนกินแล้วส่งผลสะท้อนให้พลังเวทย์เขาบริสุทธิ์ขึ้นมา
เหตุการณ์นี้เหมือนกับที่เขานึกไว้ แต่ผลสะท้อนครั้งนี้กลับไม่ใช่พลังเวทย์ แต่เป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
ส่วนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรนั้น หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็นึกถึงห้องจิตรับรู้ที่สร้างมาจากพลังจิตของปรมาจารย์ลิ่วยินในขณะที่ถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีเทากลืนกินเข้าไป ทำให้เขาเข้าใจในฉับพลัน
แต่ความคิดเหล่านี้ก็เป็นแค่ความคิดผ่านๆ พลังจิตที่โหมกระหน่ำเข้ามาในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างละเอียด เขาได้แต่พยายามทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจที่เขาเพิ่งฝึกฝนไปได้ไม่นาน เพื่อปกป้องการรับรู้ของจิตที่เหลืออยู่ไม่ให้โดนพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้ทำลาย
แต่พอเขายิ่งรักษาการรับรู้ของจิตไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังจิตของตนเองยิ่งแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง ผ่านไปไม่นานมันก็ทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมสามเท่า
พลังจิตที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลนี้ ถึงแม้เขาจะใช้เคล็ดวิชาใจปีศาจปกป้องการรับรู้ของจิตไว้ แต่ก็ยังคงทำให้ศีรษะของเขารู้สึกหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน สีหน้าขาวซีดจนยากจะหาที่เปรียบได้ เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาบริเวณหน้าผากทั้งสองด้าน โลหิตสีดำไหลออกมาจากประสาทสัมผัสทั้งห้า
ขณะนี้เขาได้ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังตั้งแต่แรกแล้ว และในสถานการณ์เร่งรีบเช่นนี้ เขาแบ่งจิตเป็นสองส่วนกระตุ้นเคล็ดวิชาใจปีศาจพร้อมกัน เพื่อต้านทานการจู่โจมของพลังจิตอันแข็งแกร่งนี้
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็พลันตะโกนเสียงต่ำออกมา เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนทำให้โพรงทั้งโพรงสั่นไหว จากนั้นร่างของเขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนที่จะสลบไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกถึงกลิ่นคาวจางๆ ในปาก เขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
แต่ชั่วพริบตาที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นสีแดงจางๆ
เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่น้ำสะอาดจะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากใช้นิ้วจิ้มเข้าไปมันก็ไหลลงมาเป็นสาย
เขาแหงนหน้าล้างคราบเลือดออกไปจนหมด จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้งเพื่อทำให้ร่างกายเกิดไอร้อนขึ้นมา และเสื้อผ้าก็กลับมาแห้งอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะใช้นิ้วนวดขมับสองข้างเบาๆ
เหตุการณ์ในก่อนหน้านี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาฝืนต้านทานไว้อย่างยากลำบาก และพลังจิตเหล่านั้นไม่ได้โหมกระหน่ำในขณะที่เขาสลบไปล่ะก็ เกรงว่าศรีษะของเขาคงจะต้องระเบิดออกมาจริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกว่าทะเลจิตรับรู้ของเขาขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสามถึงสี่เท่า ดูเหมือนว่าพลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านั้นจะอยู่เต็มทุกพื้นที่ในทะเลจิตรับรู้ของเขา การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดศีรษะเบาๆ ได้
ดูเหมือนว่าถ้าเขาอยากจะควบคุมพลังจิตเหล่านี้ให้ได้อย่างใจนึก คงต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับมัน
แต่อย่างไรก็ตาม พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้คงไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบนำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่างแล้วกวาดดูทะเลจิตวิญญาณ
แน่นอนว่าฟองอากาศลึกลับนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงเรียกจิตกลับมา และใช้มือลูบคางไปมาราวกับคิดอะไรอยู่
ดูท่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก พลังจิตอันแข็งแกร่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการกลืนกินห้องจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยินจริงๆ
แต่ผลสะท้อนกลับเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีระยะห่างของเวลาหลายวัน มันช่างแตกต่างกับการสะท้อนกลับของพลังเวทย์ยิ่งนัก
ต่อไปถ้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ครั้งนี้ถือว่าดวงดีที่มันไม่ทำให้ศีรษะเขาระเบิดออกมา ครั้งหน้าอาจจะไม่ดวงนี้อย่างนี้ก็ได้
แต่จะว่าไป! ถ้าใช้วิธีการนี้ได้ถูกวิธีกลับสามารถทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ความยั่วยวนนี้ทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้
แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงฉากอันน่ากลัวที่พลังจิตอัดแน่นอยู่เต็มศีรษะแล้ว ก็รู้สึกเสียวสะท้านอย่างอดไม่ได้ เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ไปก่อน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาจะหาห้องจิตรับรู้แบบนั้นได้จากไหน ต่อให้มีโอกาสเช่นนี้จริงๆ แต่ถ้ายังไม่มีแผนการรับมือที่ดีพอ เกรงว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย
ต่อมาหลิ่วหมิงก็ตรวจสอบดูส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หลังจากไม่พบว่ามีอะไรเสียหาย เขาก็ทำท่ามือเข้าฌานด้วยความสบายใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา