ตอน ตอนที่ 350 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 350 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
อานุภาพอันรุนแรงเช่นนี้ ดูเหมือนว่าห้องโถงจะพังทลายได้ตลอดเวลา อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่แฝงไปด้วยสามสิบห้าชั้นจำกัดนี้ มีอานุภาพมาก!
“ดี! ดีมาก ที่แท้ก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง หลังจากหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกเสร็จ โล่เก้ากะโหลกนี้จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน” เหยียนเจวี๋ยเรียกโล่กระดูกสีดำกลับมา และกล่าวด้วยความพอใจ
จากนั้น เขาก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด หลังจากทดสอบอานุภาพของโล่กระดูกติดต่อกันสิบกว่าครั้ง ถึงหยุดมือลงเพราะพลังเวทย์ต้านทานไม่ไหว
เหยียนเจวี๋ยเก็บแผ่นโล่ในมือลงในยันต์เก็บของอย่างระมัดระวัง จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ เขาหยิบแผ่นค่ายกลสีทองออกมา หลังจากทำท่ามือส่งอักขระเล็กๆ เข้าไปในนั้นแถวหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องโถงใต้ดิน
ผ่านไปสักพัก เหยียนเจวี๋ยนก็มาถึงหองดงามหลังหนึ่ง ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำคอยอยู่ในนั้นแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง คนผู้นั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?” พอเข้ามาในห้อง เหยียนเจวี๋ยวก็กล่าวกับชายฉกรรจ์ด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
คนที่เหยียนเจวี๋ยพูดถึงในตอนนี้ ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
แม้ว่าตอนนั้นหลิ่วหมิงจะบดบังกลิ่นไอไว้ แต่ด้วยอิทธิพลในหุบเขาของเหยียนเจวี๋ย เพียงแค่สืบดูเล็กน้อยก็หาที่พักของเขาเจอได้อย่างง่ายดาย
หลังงานประมูลวันนั้น พอเขาเห็นขนแข็งปีศาจยักษ์ในมือหลิ่วหมิง ก็รู้สึกใจเต้นไม่หยุด แม้กระทั่งคิดเรื่องเลวๆ ขึ้นมา
เขาไม่เคยเชื่อคำที่หลิ่วหมิงพูดออกมาเลย เหตุที่ปล่อยให้หลิ่วหมิงจากไป ก็เป็นเพราะว่าไม่สะดวกลงมือหลังงานประมูล บวกกับตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่า ขนแข็งจะใช่วัสดุจิตวิญญาณตามที่เล่าลือหรือไม่ จึงไม่ได้รั้งตัวหลิ่วหมิงไว้
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า ขนแข็งสีดำเป็นวัสดุจิตวิญญาณจริงๆ จึงย่อมลงมือกับหลิ่วหมิงทุกวิถีทาง
“เรียนท่านผู้เชี่ยวชาญ หลังจากงานประมูลในวันนั้น คนผู้นั้นก็อยู่ในหอมาโดยตลอด ไม่เคยก้าวออกประตูห้องแม้แต่ก้าวเดียว” ชายฉกรรจ์ได้ยินก็รีบกล่าวอย่างนอบน้อม
“ดีมาก! ดูท่าเขาคงปรับแต่งโซ่ตรวนสะกดวิญญาณอยู่ ไม่เป็นไร! พวกเจ้าจับตาดูให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเป็นเด็ดขาด พอเขาไปจากหุบเขาเหล็กอัคคี ก็รีบมารายงานข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าคงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า” เหยียนเจวี๋ยสั่งด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
……
ในมุมที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งของหุบเขาเหล็กอัคคี
ในหอที่สร้างตามเขาหลังหนึ่ง
ค่ายกลที่เกิดจากการประสานกันของอักขระสีเงินจำนวนมาก กำลังเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา เพียงแต่อักขระที่ขาดๆ หายๆ ในตอนแรก ตอนนี้กลับดูชัดเจนขึ้นมา และค่อยๆหมุนวนอย่างช้าๆ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่นั่งอยู่กลางค่ายกลลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ประกายแสงกระพริบผ่านดวงตาทั้งสอง จากนั้นเขาก็ทำท่ามือ และคว้าไปยังโซ่สีเงินที่อยู่กลางอากาศ
โซ่เงินกลายเป็นลำแสงสีเงินหล่นลงในมือของเขา
แม้โซ่ตรวนสะกดวิญญาณจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่หลิ่วหมิงต้องใช้เวลานานครึ่งเดือน ถึงปรับแต่งชั้นจำกัดทั้งหมดได้
พอเห็นว่าโซ่ตรวนสะกดวิญญาณปรับแต่งเสร็จแล้ว เขาก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา ในระหว่างการปรับแต่งก็ยิ่งรู้สึกว่าอาวุธจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างทันที จากนั้นผลึกแสงก็เปล่งประกายระหว่างคิ้ว พลังไร้รูปอันน่าตกใจม้วนตัวออกมา หลังจากหมุนวนติ้วๆ แล้ว อากาศเหนือศีรษะของเขาก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นไร้รูป
นี่คือการที่หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตอันมหาศาลของตนเองออกมา ตอนนี้โซ่ตรวนสะกดวิญญาณถูกเขาปรับแต่งแล้ว ย่อมต้องทดสอบดูอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้สักหน่อย
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็คิดอะไรบางอย่างได้มาได้ เขาปล่อยพลังเวทย์บริสุทธิ์ใส่โซ่ตรวนสะกดวิญญาณในมือ
“ฟู่!”
อักขระบนโซ่ตรวนสะกดวิญญาณดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา มันเริ่มบิดตัวอย่างช้าๆ ทันใดนั้น คลื่นสั่นสะเทือนอันน่าตกใจก็กระเพื่อมออกจากโซ่สีเงิน
ฉากที่สร้างความดีใจให้กับหลิ่วหมิงได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
ระลอกคลื่นไร้รูปเหนือศีรษะของเขา ขยายใหญ่ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง มันมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งในห้าส่วน และยังเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา
“เหยียนเจวี๋ยกล่าวไว้ไม่มีผิด โซ่เส้นนี้มีผลในการเพิ่มทวีพลังจริงๆ ด้วย” หลิ่วหมิงยิ้มออกมา พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ระลอกคลื่นพร่ามัวเหนือศีรษะก็ค่อยๆ สลายไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงรู้วิธีการใช้และเข้าใจชั้นจำกัดของของมันอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็เก็บโซ่ตรวนสะกดวิญญาณเข้าไปด้วยความพอใจ
“ห่างจากงานประมูลมาไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง หากมีโอกาส ก็ควรจะรีบไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียง พอยืดเส้นสายเล็กน้อยแล้ว ก็เดินออกจากห้องไป
พอออกมาจากหอ ก็ค้นพบว่าทหารโลหิตเหล็กในหุบเขา มีมากกว่าปกติเท่าตัว เดินไปซักพัก ก็ค้นพบว่านักรบชุดเกราะเหล่านี้ ดูเหมือนจะกระจายอยู่ทั่วทุกมุมของหุบเขา และเดินลาดตระเวนอยู่ไม่หยุด
ดูจากจุดนี้ หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความตรึงเครียดได้อย่างชัดเจน
แต่เวลาที่เขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น คิ้วจะขมวดขึ้นมา สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่ เขาพลันรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยบางอย่าง ราวกับว่าถูกคนแอบมองอยู่
“ดูท่าตอนนี้ยังไม่อาจไปจากสถานที่แห่งนี้ได้”
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดๆ ทางสีหน้ามากนัก
เวลาต่อมา เขาเดินเข้าออกตามร้านต่างๆ ดูเหมือนจะซื้อยันต์ที่ใช้ประจำมาจำนวนหนึ่ง และสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาเหล็กอัคคีกับเถ้าแก่ร้าน ขณะเดียวกันมือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ก็ทำท่ามือไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาแอบแสดงเคล็ดวิชาพลังจิตออกมา และเริ่มตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อพลังจิตไร้รูปถูกปล่อยออกมา เขาก็จับได้ว่าบริเวณนั้น มีพลังจิตที่ค่อนข้างคลุมเครือสั่นไหวอยู่
ไม่นาน เมื่อหลิ่วหมิงสงบสีหน้าแล้วเดินออกมาจากร้านแห่งหนึ่งนั้น ในใจเขากลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
จากการใช้พลังจิตกวาดดูไปซักระยะ ก็ค้นพบว่าคลื่นพลังจิตที่ปรากฏอย่างคลุมเครือนี้ ดูเหมือนจะมาจากทั่วทุกทิศ และคลื่นพลังจิตที่แผ่มาจากแต่ละทิศ ต่างก็ดูคล้ายกันเป็นพิเศษ
นี่ก็แสดงว่า เขาไม่อาจจับตำแหน่งสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยได้
แต่ด้วยการที่หลิ่วหมิงเป็นคนมีสติปัญญามาก เขาย่อมไม่เลิกราไปแค่นี้แน่
มือซ้ายของเขาค่อยๆ ทำท่ามือขึ้นมา และแอบกระตุ้นโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ ระหว่างคิ้วของเขามีลำแสงสีเงินปรากฏออกมาจางๆ จากนั้นพลังจิตมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมาในพริบตา
ภายใต้การเพิ่มพลังของโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าคลื่นพลังจิตที่กระเพื่อมออกมาบริเวณนี้ แท้จริงแล้วถูกคนใช้วิธีการเหนือชั้น เจตนาปลอมแปลงขึ้นมาเท่านั้น
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึก บวกกับมีโซ่ตรวนสะกดวิญญาณคอยช่วย ทำให้พอจะหาต้นสายปลายเหตุได้ ดูท่าระดับการฝึกฝนของคนผู้นี้ และเคล็ดวิชาที่ใช้คงไม่ธรรมดา
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อครู่ เขาค้นพบว่าห่างจากเขาไปไม่ไกล มีคนคอยติดตามเขาเพิ่มมาอีกคน คลื่นพลังจิตที่ไม่คุ้นเคยตามติดอยู่ด้านหลังของเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก แต่เขายังคงไม่แสดงสีหน้าผิดปกติออกมา แต่กลับเดินวนอยู่ในเขตที่มีคนคึกคัก
ไม่นาน เขายิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อค้นพบว่า บุคคลลึกลับนี้ตามติดเขาอยู่ตลอด ราวกับไม่มีความหวั่นเกรงใดๆ
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสงสัยขึ้นมา การกระทำของคนผู้นี้แตกต่างจากบุคคลก่อนหน้านั้น ราวกับไม่กลัวว่าเขาจะรู้
“หรือว่ายังมีคนอื่นจับตาดูข้าอยู่?” หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งของหุบเขาเหล็กอัคคี
……
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป
ในป่าเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คน
เงาร่างของหญิงสาวรูปร่างผอมบางกำลังเดินอยู่ในป่าอย่างช้าๆ สายตาของนางกวาดมองรอบด้านอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ากำลังหาอะไรอยู่ ขณะเดียวกันก็พูดพึมพำออกมา
“แปลกจริง! เมื่อครู่ยังเห็นอยู่ชัดๆ”
แต่พริบตาที่นางเพิ่งจะหันตัวกลับมา ก็มีเงาร่างสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้านางไม่ไกล
ขณะที่เงาร่างปรากฏออกมา เขาก็จ้องมองนางด้วยสายตาราวกับคมมีด ขณะเดียวกัน ก็มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นข้างหูของนาง
“ท่านตามข้ามานานเช่นนี้ ควรจะอธิบายเหตุผลที่เหมาะสมให้ข้าได้แล้ว มิเช่นนั้นก็อย่าหวังจะไปจากที่นี่ได้โดยง่าย”
เงาดำย่อมเป็นหลิ่วหมิงนั่นเอง ขณะที่เขาปรากฏตัวออกมานั้น กลิ่นไออันน่ากลัวก็ถูกปล่อยออกมา พริบตาเดียวก็รัดตัวหญิงสาวตรงหน้าไว้
แต่การแสดงของหญิงสาวร่างผอมบางกลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก
นางไม่เพียงแต่จะไม่มีท่าทีลนลาน แต่กลับแสดงสีหน้าดีใจออกมา พอนางยกมือข้างหนึ่งขึ้น ม่านแสงก็ม้วนตัวออกไปปกคลุมร่างของนางกับหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบทำท่ามือขึ้นมาทันที หากหญิงสาวตรงหน้ายังทำการเคลื่อนไหวใดๆ อีก เขาก็จะโจมตีทันที
แต่ฉากต่อมาก็ทำให้หลิ่วหมิงอึ้งไปทันที
มือเรียวเล็กของหญิงสาวลูบไปบนใบหน้าของตนเอง จากนั้นใบหน้างดงามอันคุ้นเคย โครงหน้าอันประณีต คิ้วและจมูกได้รูป ก็ปรากฏออกมา นางดูงดงามน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
นางคือเจียหลานนั่นเอง
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา