ตอนที่ 401 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 401 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เหยียนลัวเห็นฉากเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด แต่กลับดีใจมากกว่า พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงบนตัวก็ดับลง ผิวของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และก้าวไปหาหลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ! วิชาขี่กระบี่ของน้องหลิ่วช่างน่าตกใจจริงๆ หากข้ายังมีถุงมือที่ทอมาจากไหมเงินอีกข้างล่ะก็ ร่างฆ้องทองแดงนี้จะสามารถต้านทานได้หรือไม่นั้น ก็ไม่อาจรู้ได้!”
“พี่เหยียนออมมือแล้ว! วิชาขี่กระบี่นี้เพิ่งฝึกสำเร็จได้ไม่นาน ยังไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ” หลิ่วหมิงโบกมือ และเก็บกระบี่ที่กลับคืนสภาพเดิมเข้าไป จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มคนของพันธมิตรเหล็กที่ล้อมดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบกระซาบขึ้นมา แม้สายตาที่มองหลิ่วหมิงจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
เหยียนลัวในสายตาของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่หลิ่วหมิงกลับทำร้ายเขาได้ในการโจมตีเดียว ย่อมนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
และภายในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเลแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่น่าหวาดกลัวกว่าภายนอกมาก
ที่หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงก็คือ แม้เหยียนลัวจะเป็นผู้นำหนึ่งในสองอิทธิพลใหญ่ในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ และกายเนื้อก็แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึก แต่กลับดูเหมือนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมามาก
แม้การแลกมือในครั้งนี้เขาจะถูกหลิ่วหมิงทำให้บาดเจ็บ แต่กลับปฏิบัติต่อเขาอบอุ่นกว่าเดิม ทั้งยังสั่งการให้จัดบ้านหินที่ค่อนข้างใหญ่ให้หลิ่วหมิงเข้าไปพัก
ในระยะเวลาสองวันนี้ เหยียนลัวส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของอสูรโฉดอยู่ตลอด แต่ดูจากข่าวที่รายงานกลับมาย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนภัยร้ายนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน และก็หายไปอย่างแปลกประหลาด
นอกจากนี้ ข่าวที่ส่งมาจากเขตแลกเปลี่ยนบอกว่า ในที่สุดกลุ่มผู้พิทักษ์ที่มีเฉินกังเป็นหัวหน้าก็มาปรากฏตัวแล้ว แต่หลังจากมาดูได้ไม่นานก็จากไป
สำหรับเรื่องนี้ เหยียนลัวเพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ได้ใส่ใจมันมาก
ในระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงนั่งสมาธิอยู่ในบ้านหินตลอด เหยียนลัวเองก็ให้คนส่งเนื้ออสูรโฉดอบแห้งมาให้เขาไม่น้อย
ซินหยวนเองก็มาหาหลิ่วหมิงที่บ้านหินครั้งหนึ่ง เขายังคงดูป่วยอยู่เช่นเดิม แต่สีหน้าดูดีกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย ทั้งยังไม่รู้ว่าไปเอาสุรามาจากไหนสองกา
เขาสนทนากับหลิ่วหมิงอย่างถูกคอ ขณะเดียวกันก็พูดคุยเรื่องราวการเดินทางที่พบเจอในโลกภายนอกด้วยความสบายใจ
ในระหว่างการสนทนา ดูเหมือนซินหยวนจะซาบซึ้งใจกับโอสถที่เขามอบให้ในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่พูดถึงผลประโยชน์มากมายที่เขาส่งเสียงมาบอกหลิ่วหมิงในตอนนั้นเลย
สำหรับเรื่องนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถามก่อนอย่างแน่นอน
ผ่านไปสองวัน หลังจากอสูรโฉดทั้งหมดกลับไปเหวลึกจนหมดแล้ว หลิ่วหมิงก็กล่าวลากับเหยียนลัว และได้ปฏิเสธคำเชิญให้เข้าร่วมพันธมิตรเหล็กอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็กลับไปยังที่พักของตนเอง
ซินหยวนและคนอื่นๆ ก็รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในฐานที่มั่นของพันธมิตรเหล็ก
เป็นดังที่คาดหมายเอาไว้ ระหว่างทางหลิ่วหมิงไม่เพียงแต่จะไม่พบอสูรโฉดเลยสักตน แม้แต่ทาสเหมืองแร่ที่พบระหว่างทางก็มีน้อยมาก
เมื่อมาถึงถ้ำที่พักในก่อนหน้านั้น ก็ค้นพบว่าไอหมอกสีขาวเทาที่เคยปกคลุมทางเดินบริเวณนี้ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงปล่อยแมงป่องกระดูกออกมาเฝ้าระวังอยู่หน้าปากถ้ำ จากนั้นตนเองก็เดินเข้าไปด้านใน
สามารถเอาชีวิตรอดจากภัยร้ายในครั้งนี้ได้ นับว่าโชคดีไม่น้อย และนับว่าได้ผ่านด่านเคราะห์ไปหนึ่งด่านแล้ว แต่ผ่านเหตุร้ายมาได้จะต้องมีโชคตามมา สิ่งนี้ทำให้ความปรารถนาในการหนีออกไปจากที่นี่ของหลิ่วหมิงรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือว่าพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ ต่างก็สูญเสียไปไม่ใช่น้อย ต้องรีบเสริมโดยเร็วที่สุด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงไปทันที มือทั้งสองพลิกขึ้นมา แต่ละข้างต่างก็ถือหินจิตวิญญาณไว้ข้างละหนึ่งก้อน จากนั้นก็เริ่มหลับตาเข้าสมาธิ
ตอนที่อยู่ในฐานที่มั่นของพันธมิตรเหล็กในก่อนหน้านั้น เขาย่อมไม่กล้าเปิดเผยหินจิตวิญญาณระดับสูงต่อหน้าผู้คน
หลายวันต่อมา
ขณะที่หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่นั้น พลันมีเสียงร้องของแมงป่องกระดูกดังเข้ามา
เขาลืมตาขึ้นมาทันที
แต่ดูจากน้ำเสียงที่มันส่งมาแล้ว กลับดูเหมือนไม่ใช่การถูกศัตรูโจมตี
ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบนั้น พลันมีเสียงดังก้องขึ้นมา
“พี่หลิ่ว ไม่เจอกันหลายวัน เป็นอย่างไรบ้าง!”
“ที่แท้ก็เป็นพี่ซินนั่นเอง ในเมื่อมาแล้วก็เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงก็จำได้ทันที
ครู่ต่อมา เงาร่างสีเทาก็มาปรากฏภายในถ้ำ
เขาก็คือซินหยวนนั่นเอง
“ดูท่าพี่ซินจะฟื้นฟูได้ไม่เลว ตอนนี้มีความฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือที่ผาดโผนแล้ว” หลิ่วหมิงสังเกตดูซินหยวนสามที จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อันนี้ต้องชื่นชมโอสถระดับสูงของพี่หลิ่วแล้ว” ซินหยวนประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่หากอยากให้แผนหลบหนีสำเร็จอย่างราบรื่นล่ะก็ ต้องให้ผู้ที่มีพลังการโจมตีอันแข็งแกร่งคอยช่วยเหลือถึงจะได้ และภายในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ ก็มีคนที่เหมาะสมอยู่ไม่มาก จนถึงตอนนี้ยังรวบรวมคนได้ไม่เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ ซินหยวนถึงให้เขาใช้วิชาขี่กระบี่ประลองกับเหยียนลัวในตอนแรก
หลังจากนั้น เหยียนลัวก็รู้สึกพอใจกับอานุภาพของวิชาขี่กระบี่มาก จึงให้ซินหยวนมาเชื้อเชิญหลิ่วหมิงด้วยตนเอง
ซินหยวนเล่าจบก็รีบปิดปากทันที เขารอให้หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเรื่องราวเหล่านี้อย่างเงียบๆ และรอฟังคำยืนยันจากหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นถึงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ตามที่เล่ามา ผู้อาวุโสหลานกับพี่เหยียนลัวได้มีแผนนี้อยู่ในใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่ซินพอจะรู้เส้นทางการหลบหนีที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ อย่างที่รู้ๆ ว่าพวกเราอยู่ในส่วนลึกของใต้ทะเล ทั่วทั้งสายแร่ต่างก็ถูกคนของราชาปีศาจสมุทรวางชั้นจำกัดไว้อย่างแน่นหนาแล้ว”
พอซินหยวนได้ยินคำพูดนี้กลับต้องส่ายหหน้าไปมา
“เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ทั้งสองจะบอกวิธีการและเส้นทางการหลบก่อนเริ่มลงมือเล็กน้อยเท่านั้น ในระหว่างนี้พวกเราต่างก็ไม่มีใครรู้เลย พี่หลิ่ว ด้วยคุณสมบัติกับพลังของท่าน ท่านจะยอมถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตหรือ? ท่านจะยอมร่วมมือกับพวกเราหรือไม่?”
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา และจมดิ่งไปในความคิด ไม่นานก็พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิ่ว ครั้งนี้ท่านไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม?”
ในระหว่างที่กำลังสนทนาอยู่ หลิ่วหมิงได้ปล่อยพลังจิตออกไป และค้นพบว่านอกถ้ำมีกลิ่นไออันแข็งแกร่งสองแบบซ่อนอยู่
หากพลังจิตเขาไม่แข็งแกร่งพอ และตั้งใจสำรวจซ้ำอีกรอบล่ะก็ หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายคนอื่นๆ คงไม่สามารถค้นพบได้เลยแม้แต่น้อย
ซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย และยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คิดไม่ถึงว่าจิตรับรู้ของพี่หลิ่วก็แข็งแรงถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ข้าจึงต้องทำเช่นนี้ ขอท่านโปรดให้อภัย แต่เรื่องที่ข้าพูดในก่อนหน้านั้น เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกาย หลังจากมองชายหนุ่มร่างผอมตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาในฉับพลัน จากนั้นยันต์สีเหลืองผืนหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป และระเบิดตัวออกมา
ม่านแสงสีขาวปรากฏออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งสองไว้ ทำให้ทั้งสองถูกกั้นจากภายนอก
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา