“ฟู่!”
ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกจากใจกลางค่ายกล หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นเงาร่างมังกรที่มีเกล็ดสีฟ้าจางๆ ปกคลุมอยู่
“ชิงฉิน เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงใช้ขนวิหคประจำตัวเช่นนี้” หลังจากเงาร่างมังกรปรากฏตัวขึ้น มันก็ถามออกมา
“ราชาปีศาจสมุทร แย่แล้ว! ราชวงค์ชังไห่รวมกำลังกับชนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสิบ ตอนนี้กองทหารได้มาถึงพระราชวังแล้ว ขอให้พระองค์รีบกลับมาสั่งการด้วยเถิด”
ขณะเดียวกัน เหนือผืนทะเลที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากโลกใต้ทะเลลึกไปเท่าใด พอราชาปีศาจสมุทรที่กลายร่างเป็นมังกรได้ยินเสียงของชิงฉินดังมาจากร่างของวิหคน้อยโปร่งใสตัวหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมเล็กน้อย และไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง……
ขณะที่เผ่าปีศาจและเผ่าเจ้าสมุทรทำการต่อสู้กันภายใต้ทะเลลึกนั้น
มีเงาร่างเล็กๆ สองเงาปรากฏขึ้นในมุมบางแห่งของพระราชวังใต้สมุทรที่อยู่ห่างไกลผู้คน จากนั้นวิ่งไปทางพระราชวังอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงสะท้อนจากสิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณรอบๆ เมื่อมองดูอย่างละเอียดจะค้นพบว่าเงาร่างเหล่านั้นก็คือ ชื่อลี่กับเจียหลานที่ ‘หายตัว’ ไปในก่อนหน้านั้น
ขณะนี้ทั้งสองได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดหนังสีดำทะมัดทะแมง ชื่อลี่วิ่งอยู่ด้านหน้า และปล่อยพลังจิตกวาดดูความเคลื่อนไหวบริเวณรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาของเจียหลานที่ตามติดอยู่ด้านหลังก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลังจากมาถึงพระราชวังแล้ว ชื่อลี่ก็กระพริบหายไปในประตูเล็กๆ บางแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก เจียหลานหันมามองกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่นอกม่านแสงห้าสี และแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา จากนั้นก็กัดฟันเดินตามเข้าไปในประตูเล็กๆ
ภายในพระราชวังใต้สมุทรที่เหลืองอร่ามงามตา เพราะความวุ่นวายจากภัยสงครามที่อยู่ด้านนอก จึงทำให้ทางเดินอันกว้างขวางแทบจะไม่มีทหารอยู่เลย
และมีข้ารับใช้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พอพวกนางเห็นชื่อลี่ก็ค่อยๆ โค้งตัวคารวะโดยไม่กล้าถามอะไรออกมา
แต่พอชื่อลี่ลงมืออย่างไม่ปราณี พวกนางก็ถูกมือโจมตีจนเสียชีวิต แม้แต่ศพก็กลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา
ต่อมาทั้งสองก็เดินลัดเลาะอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มาถึงห้องโถงที่ค่อนข้างประณีตงดงามแห่งหนึ่ง
ชื่อลี่สังเกตดูห้องโถงด้วยสายตาอันเยือกเย็น นางเดินอ้อมที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลางจนมาถึงหน้าเสาหินต้นหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีฟ้าออกมาแกว่งเบาๆ
“ฟู่!”
เปลืองหอยสีฟ้าเปล่งแสงสว่างออกมา อักขระสีฟ้าจางๆ พุ่งออกจากในนั้น และกระพริบหายไปในเสาหิน
เสาหินค่อยๆ สั่นสะท้าน แสงแวววาวไหลผ่านบนพื้นผิว ทันใดนั้นประตูเล็กๆ บานหนึ่งก็เปิดออกมา
“ไปกันเถอะ!” ชื่อลี่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากพูดกำชับแล้วนางก็เดินนำเข้าไป
เจียหลานเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็เดินตามเข้าไป
จากนั้นทั้งสองก็เดินตามบันไดหินสีดำเข้าไปยังทางเดินที่ดูคล้ายอุโมงค์น้ำแข็ง
……
อีกด้านหนึ่ง ภายในอุโมงค์แคบยาวที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสายแร่ใต้ทะเลลึก
หลานสี่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นมากล่าวอย่างราบเรียบ
“ได้เวลาพอประมาณแล้ว พวกเราควรจะเคลื่อนไหวได้แล้ว” แม้น้ำเสียงจะไม่ดังมาก แต่พอมันเข้าไปในหูกลับส่งเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง
ผู้คนในอุโมงค์ต่างก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน และสายตาของพวกเขาก็จ้องมองไปยังผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้ทำราวกับไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เดินไปยังผนังหินบางแห่งที่อยู่ไม่ไกล และยกกำปั้นขึ้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เพล้ง!”
พอผนังหินที่ดูไม่เตะตาปะทะกับกำปั้น แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมาต้านทานไว้
พอหลานสี่เห็นเช่นนี้ แววตาที่เป็นประกายก็หายไป เขาร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกันแสงระยิบระยับก็เปล่งประกายอยู่บนกำปั้น คลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาดม้วนตัวออกไป
เกิดเสียงดังขึ้นมา!
ม่านแสงสีขาวสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็แตกกระจายไปพร้อมกับผนังหิน และฝุ่นสีเทาก็ฟุ้งกระจายบริเวณรอบๆ
ทางเดินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังผนังหิน บนทางเดินเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวเทา ซึ่งไม่รู้ว่ามันทอดยาวไปที่ใด
ฉากที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในนั้นจ้องมองด้วยความตกตะลึง
แม้หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนจะไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ก็รู้สึกแปลกใจมาก
ตอนที่เข้ามาในอุโมงค์ เขาได้ปล่อยพลังจิตกวาดดูบริเวณนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ค้นพบว่าด้านหลังผนังหินจะมีสถานที่อื่นๆ อยู่
ดูท่าม่านแสงสีขาวที่อยู่บนผนังหินคงไม่ใช่ชั้นจำกัดธรรมดาอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา