ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 57

สรุปบท ตอนที่ 57: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 57 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 57 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 57 แดนปีศาจปรโลก
ตอนที่ 57 แดนปีศาจปรโลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังทิศทางที่ผู้เฒ่าปีศาจบอก

ตอนที่เขาเหาะออกไปนอกม่านแสงสีขาวนวลนั้น สิ่งที่ตาของเขามองเห็นคือสถานที่มืดครึ้มเปล่าเปลี่ยวมาก แผ่นฟ้าทั้งผืนถูกแผ่คลุมด้วยเมฆดำอย่างแน่นหนามองไม่เห็นแสงอาทิตย์แม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ

หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย ความรู้สึกหนาวเย็นหลั่งพรั่งพรูภายในร่าง ถึงแม้จะทำให้ร่างกายเขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกว่าพลังเวทตรงทะเลจิตวิญญาณกลับดูคล้ายจะวิ่งเต้นภายในพริบตา

หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจ

แดนปีศาจปรโลกนี้เป็นอย่างที่ผู้คนกล่าวไว้จริงๆ มันมีผลดีต่อการฝึกฝนวิชาจิตวิญญาณปีศาจและวิชาที่ใช้พลังหยินไม่น้อย แต่ร่างกายกลับทนต่อพลังปราณหยินที่ต้านกลับมาไม่ได้

เขาได้แต่ละความคิดที่จะอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนพลังเวท

พอเหาะไปไกลกว่าสามลี้ หลิ่วหมิวก็ยังไม่พบปีศาจใดๆ และสุดท้ายก็มาถึงแม่น้ำมืดที่ผู้เฒ่าปีศาจได้บอกไว้

แต่พอเขาเหาะเข้าไปใกล้หน่อยหนึ่งก็หัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้

แม่น้ำมืดที่ปรากฏตรงหน้า ถ้าจะบอกว่าเป็นแม่น้ำไม่สู้บอกว่าเป็นลำธารเล็กๆ น่าจะเหมาะสมกว่า

แม่น้ำมืดกว้างไม่เกินจั้งกว่าๆ น้ำในแม่น้ำก็ไม่ได้ใสสะอาด แต่กลับเป็นสีเหลืองอ่อนที่ขุ่นเป็นพิเศษ และเหนือผิวน้ำยังมีหมอกสีขาวปกคลุมวนเวียนอยู่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับผู้พบเห็น

หลิ่วหมิงบังคับเมฆให้ลอยลงบนหินสีดำก้อนหนึ่งตรงริมแม่น้ำ เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะหามัจฉาหน้าปีศาจได้อย่างไร ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น สิ่งมีชีวิตสีขาวดำชนิดหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากน้ำที่อยู่ด้านหน้า และกระโจนเข้าหาเขา

หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง รีบสะบัดแขนเสื้อ โซ่สีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากตวัดกวัดแกว่งอย่างเลือนลางแล้วก็หวดเข้าใส่เจ้าสิ่งที่พุ่งเข้าอย่างรุนแรง

และเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนี้ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา และได้แต่นอนเต้นตุบๆ อยู่บนพื้นไม่หยุด

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีเวลามองไปยังเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนั้น

มันเป็นสิ่งที่คล้ายปลาและอสูรดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ยาวประมาณครึ่งฉื่อ ส่วนท้ายของมันเหมือนกับปลาชนิดหนึ่ง แต่ส่วนหน้าเป็นหัวปลาปีศาจขนาดเล็กกว่าตัวหลายเท่า และมีขนปุกปุย ตรงท้องมันยังมีกรงเล็บสีดำเล็กๆ สองข้าง

ตอนนี้เจ้าปลาแปลกประหลาดอ้าปากพะงาบๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้มองเห็นฟันเล็กละเอียดแหลมคมสองแถว แสดงให้เห็นว่ามันดุร้ายเป็นอย่างมาก

“ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้ก็คือมัจฉาหน้าปีศาจ” หลังจากหลิ่วหมิงตื่นตะลึงครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา

โซ่ตรวนวิญญาณหวดเข้าใส่ตรงหัวปีศาจของเจ้าปลาประหลาดอย่างรุนแรงอีกครั้งด้วยความแม่นยำ

มัจฉาหน้าปีศาจสส่งเสียงร้องประหลาดแล้วก็สลบไป

หลิ่วหมิงหยิบข้องปลาออกมาจากอก ใช้โซ่ตรวนจิตวิญญาณม้วนพันมัจฉาหน้าปีศาจมาใส่ลงไปในข้อง

ต่อมาเขาถึงเดินลงจากก้อนหินไปยังด้านหน้าของแม่น้ำมืดอย่างระมัดระวัง

ครั้งนี้ไม่มีอะไรโดดขึ้นมาจากน้ำแล้ว

หางคิ้วของหลิ่วหมิงยกขึ้น แล้วตวัดโซ่ตรวนวิญญาณออกไปอีกครั้ง แตะปลายโซ่ลงบนผิวน้ำด้านหน้าแล้วชักกลับอย่างรวดเร็ว

ปลายโซ่ตรวนวิญญาณถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีขาว

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจด้วยความตกตะลึง

แม่น้ำมืดนี้เย็นประหลาดอย่างหาที่เปรียบมิได้

ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าเข้าใกล้แม่น้ำมืดไปกว่านี้แล้ว เขาเว้นระยะห่างจากแม่น้ำเท่าเดิมแล้วค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่สวนกระแสน้ำไหล

ผลคือผ่านไปสักระยะก็จะมีมัจฉาหน้าปีศาจกระโดดออกมาจากแม่น้ำ ตัวใหญ่สุดยาวหนึ่งฉื่อตัวเล็กสุดยาวไม่กี่ชุ่น

หลิ่วหมิงใช้โซ่ตรวนวิญญาณหวดใส่มันจนสลบโดยไม่ละเว้นแม้แต่ตัวเดียวแล้วใส่ลงไปในข้องปลา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จับมัจฉาหน้าปีศาจได้สิบเจ็ดถึงสิบแปดตัวแล้ว และมันก็ถูกใส่ลงไปในข้องปลาจนเต็ม

เขาขี่เมฆเหาะกลับไปอย่างไม่ลังเล

……

“ไม่เลว สิ่งเหล่านี้คือมัจฉาหน้าปีศาจที่ข้าต้องการ เข็มทิศหยินนี้เป็นของเจ้าแล้ว” พอเฒ่าปีศาจเห็นหลิ่วหมิงเหาะลงมาพร้อมกับมัจฉาหน้าปีศาจเต็มข้องปลาก็กล่าวด้วยความดีใจ และโยนเข็มทิศหยินในมือออกไปให้หลิ่วหมิง

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอรับเข็มทิศหยินมาแล้วก็โยนข้องปลาในมือให้กับฝ่ายตรงข้าม

“อวิ๋นเซียนกำลังเช่าพักผ่อนอยู่ในห้องจิตวิญญาณข้าจะพาเจ้าไปพบนาง ศิษย์น้องเองก็อย่าเพิ่งรีบไปจากที่นี่ แดนปีศาจปรโลกนี้ค่อยข้างอันตรายเป็นอย่างมาก ทางที่ดีศิษย์น้องฟังพวกข้าทั้งสองบรรยายเรื่องต่างๆ ให้ฟังเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย” ตู้ไห่กล่าวด้วยความกระตือรือร้น

“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องย่อมไม่กล้าขัดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก็พยักหน้าตอบรับกลับไป

ตู้ไห่เห็นเช่นนี้ ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังห้องหินห้องหนึ่งด้วยความดีใจ

ครู่ต่อมา หลังจากที่ตู้ไห่เคาะประตูหินแล้ว มู่อวิ๋นเซียนหญิงผู้มีใบหน้างดงามก็เดินออกมาจากด้านใน

พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็อึ้งเล็กน้อย สำรวจดูทั่วร่างของหลิ่วหมิงครู่หนึ่งก็ถามด้วยความแปลกใจ

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ทั้งยังฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณแล้วด้วย รูปร่างของเจ้าตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเปลี่ยนไปไม่น้อย”

ตามระดับความเร็วในการฝึกฝนของศิษย์ทั่วไป ตอนนี้หลิ่วหมิวสามารถบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังล้างไขกระดูกแล้วกลับทำให้คนยอมรับได้อย่างรวดเร็ว

เพราะยังไงนิกายปีศาจก็มีวิชาไม่น้อยที่ฝึกฝนแล้ว ทำให้รูปร่างภายนอกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

“ก่อนหน้านี้ไม่นานศิษย์น้องบังเอิญโชคดีทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ มิเช่นนั้นคงไม่รีบร้อนมาหาปีศาจที่เหมาะสมถึงที่นี่เพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน

“จุ๊ๆ! ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแต่มันมีน้อยมาก ทั้งยังใช้เวลาสั้นๆ ขนาดนี้ ดูๆ แล้วข้ากับศิษย์พี่ตู้ทึ่งในความสามารถของศิษย์น้องมาก” มู่อวิ๋นเซียนมองดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นแล้ว! ดูเหมือนศิษย์พี่มู่กับศิษย์พี่ตู้จะไม่ได้เข้ามายังแดนปีศาจปรโลกเป็นครั้งแรก คงจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี พอจะแนะนำศิษย์น้องสักเล็กน้อยได้ไหม” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ในเมื่อศิษย์น้องรีบร้อนขนาดนี้ พวกเราก็จะบอกเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้เจ้าสักหน่อย ข้าว่าก่อนที่ศิษย์น้องจะมาที่นี่คงจะได้ยินเรื่องราวมาบ้างเล็กน้อย แต่ข้ารับรองได้ว่าแดนปีศาจปรโลกอันตรายกว่าที่เจ้ารู้มาหลายเท่านัก แค่ศิษย์ที่เสียชีวิตต่อหน้าต่อตาข้าก็มีเจ็ดแปดกว่าคนแล้ว และมันต่างจากคำร่ำลือภายนอกที่บอกว่ามีศิษย์ตายที่นี่แค่บางครั้ง” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

“ไม่ผิด ถึงแม้ศิษย์ในนิกายของเราที่อยู่ในแดนปีศาจปรโลก ต่างก็พยายามรวมกลุ่มอยู่กันสิบถึงยี่สิบคนอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่มีคนใหม่เข้ามาก็มีไม่น้อยที่ไม่ได้กลับออกไป และครึ่งหนึ่งในนั้นก็ถูกปีศาจดุร้ายกลืนกินเข้าไป อีกครึ่งหนึ่งกลับถูกทำลายโดยสองมหันตภัยร้าย”

“สองมหันตภัยร้าย?” หลิ่วหมิงได้ยินประโยคข้างจนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคท้ายยิ่งแปลกใจมากกว่า

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา