ไม่นาน ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่บนแท่นหยกก็หยุดการสนทนากับคนรอบข้าง และเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็เริ่มประกาศด้วยเสียงอันดัง
“ได้เวลาแล้ว การประลองใหญ่ในรอบแรกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ ขอให้ศิษย์ทุกคนไปประจำที่แท่นประลองที่เสี่ยงทายมา และเริ่มประลองตามดำลับหมายเลขที่ได้รับ”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็แยกย้ายกันไปล้อมแท่นประลองของตนเอง
และบนแท่นประลองของแต่ละเขต ต่างก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกอยู่หนึ่งคน เขากำลังประกาศการจับคู่ต่อสู้ และเรื่องราวบางอย่างที่ต้องระวัง
ตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยืนอยู่ในกลุ่มคนที่ล้อมรอบแท่นประลองที่เก้าแล้ว ขณะที่รับฟังการบรรยายของผู้ดำเนินการ เขาก็กวาดสายตามองดูรอบด้านไปด้วย และก้มมองหมายเลขบนป้ายของนิกาย
เขตที่เก้ามีศิษย์ทั้งหมดสี่ร้อยกว่าคน เขาอยู่ลำดับที่สามร้อยหกสิบสอง ก่อนหน้านั้นจะมีการต่อสู้กันหนึ่งร้อยกว่าครั้ง และตอนนี้ก็เหลือเวลาแค่ครึ่งวัน คิดว่าตนเองคงยังไม่ได้ขึ้นไปประลองในวันนี้
……
“รอบต่อไป หมายเลขยี่สิบห้าต่อสู้กับหมายเลขยี่สิบหก!”
ที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ก็ตัดสินแพ้ชนะไปได้สิบกว่ารอบแล้ว นี่ห่างจากที่เขาคาดคิดไว้มาก
และคู่ต่อสู้บนแท่นประลองแต่ละคู่ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนห่างกันไม่มาก ในนั้นย่อมมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นมากที่สุด ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มีพลังอ่อนแอ ยังไม่ทันจะนำอาวุธจิตวิญญาณออกมา ก็ถูกเคล็ดวิชาของฝ่ายตรงข้ามควบคุมไว้จนพ่ายแพ้ไปในพริบตา
พอศิษย์ระดับของเหลวขั้นต้นจำนวนหนึ่งพบเจอกับขั้นปลาย พวกเขาก็ยอมแพ้โดยไม่ต้องทำการต่อสู้เลย
พอมองออกไป แท่นประลองอื่นๆ ก็แตกต่างกันไม่มากนัก
แน่นอนว่าย่อมมีศิษย์ที่มีการฝึกฝนระดับเดียวกัน พลังใกล้เคียงกันที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดสักระยะเวลาหนึ่งถึงจะตัดสินแพ้ชนะได้
แต่เนื่องจากไม่ใช่การต่อสู้ความเป็นความตาย พอมีคนตกเป็นเบี้ยล่าง หรือรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ก็จะยอมแพ้แล้วกระโดดออกมาจากม่านแสง
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปดูในทันที แต่กลับพบว่าเป็นจั้งเสวียน ชายฉกรรจ์ดวงตาสีม่วงผู้นั้น ซึ่งกำลังเดินออกจากแท่นประลองที่แปด และก้าวมาทางหลิ่วหมิง
“หลังจากกันที่วังมายานภาหยก ดูเหมือนว่าพลังเวทของพี่หลิ่วจะบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่น้อย” หลังจากจั้งเสวียนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ก็กุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“พี่จั้งเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ บรรลุระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว คิดว่าคงมีพลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยจะกล้าเทียบกับพี่หลิ่วได้อย่างไร วันนั้นพี่หลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางด้วยตนเอง ทั้งยังผ่านการทดสอบของวังมายานภาหยก พลังของท่านแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ของผู้คนจำนวนมาก” พอนึกถึงเรื่องการทดสอบในวังมายานภาหยก จั้งเสวียนก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่สังหารปีศาจหยินหยางผู้นั้น?” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ทันใดนั้น ผู้คนที่อยู่รอบด้านก็มองมาทางหลิ่วหมิง และกระซิบกระซาบกันเบาๆ
ในขณะเดียวกัน สีหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปทันที พอหันหน้าไปบริเวณแท่นประลองที่เก้า ก็เจอกับชายหนุ่มร่างอ้วนที่จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ในมือถือขนมอบที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน และกำลังกัดแทะอยู่
สายตาของคนผู้นี้เคร่งขรึมผิดปกติ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกดดันอยู่ลางๆ คิดว่าคงไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาแต่อย่างใด แต่เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และคนผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้มากความสามารถตามที่เยี่ยนหมิงพูดถึงด้วย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงทำการคาดเดาอยู่ในใจชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และหันมาพูดกับจั้งเสวียนต่อ
“พี่จั้งชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น แต่ว่าพรสวรรค์เนตรอินทนิลของพี่จั้งน่าตกใจเป็นอย่างมาก การประลองใหญ่ในครั้งนี้จะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน”
จั้งเสวียนหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น การต่อสู้บนแท่นประลองที่เก้าก็ตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว และหลังจากทั้งคู่ลงจากแท่นประลองไป น้ำเสียงเยือกเย็นของผู้ดำเนินการระดับผลึกก็ดังขึ้นมา
“รอบต่อไป หมายเลขสามสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามสิบสอง”
“พี่หลิ่ว ข้าต้องขึ้นแท่นประลองก่อนแล้ว” จั้งเสวียนได้ยินก็กุมมือคารวะ ทันใดนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวสองสามที และกระโดดขึ้นบนแท่นประลองที่เก้า
หมายเลขสามสิบเอ็ดก็คือเขานั่นเอง
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายหนุ่มเตี้ยเล็ก หน้าตอบปากแหลม มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มเตี้ยเล็กไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกจั้งเสวียนปล่อยกำปั้นผ่านอากาศจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป การประลองในแต่ละรอบก็ดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน
เขตการประลองแต่ละเขต มีเสียงร้องไชโยและเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ ผู้ที่มีพลังเหนือผู้คนเหล่านั้น ต่างก็เป็นคนเก่งกาจที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญ พอเดินขึ้นแท่นประลอง ก็ดึงเสียงเรียกร้องของผู้ชมที่อยู่ด้านล่างได้
โจวเทียนรุ่ยที่เป็นหนึ่งในนั้นอยู่เขตที่สาม ขณะนี้มีเสียงชื่นชมออกมาเป็นระยะๆ ที่แท้ชั่วระยะเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนยกขา เขาก็สามารถโจมตีศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายคนหนึ่งจนพ่ายแพ้ไปแล้ว
ไม่นาน ตรงเขตการประลองที่สอง การขึ้นแท่นประลองของหญิงชุดดำที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดเสียงอุทานดังออกมา ชั่วเวลาเพียงไม่นาน หญิงสาวที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็โจมตีชายหนุ่มจนสลบไปได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ยังคงสังเกตดูการต่อสู้บนแท่นประลองด้านหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย และรอคอยอย่างเงียบๆ
การประลองใหญ่ในครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้ว อย่างน้อยจะต้องชิงตำแหน่งสิบอันดับแรกมาให้ได้ แน่นอน! หากเป็นไปได้ล่ะก็ การชิงที่หนึ่งมาได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
เช่นนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรจำนวนมาก แต่หากถูกผู้อาวุโสยอดเขาลูกไหนถูกใจเข้า ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้โดยตรง จะได้ไม่ต้องไปเดินเส้นทางอื่นให้ยุ่งยาก
เมื่อยามตะวันรอน ในที่สุดก็ถึงตาหลิ่วหมิงแล้ว
“รอบต่อไป หมายเลขสามร้อยหกสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามร้อยหกสิบสอง”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กระโดดขึ้นแท่นประลองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และร่อนลงด้านหนึ่งของแท่นประลอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา