ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ช่างเหมือนกับที่เขาคิดไว้แต่แรก ในเมื่อจิตของแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้เข้าไปในห้องลึกลับว่างเปล่านั้นด้วย และถูกทำให้ศิโรราบในนั้นพอกลับออกมาวิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็ยังใช้ได้ผลเช่นเดิม
หลิ่วแตะมือข้างหนึ่งลงไปทันที โซ่ตรวนวิญญาณบนแมงป่องกระดูกขาวก็คลายออกมา ในขณะเดียวกันอักขระบนหัวของมันก็หายไปด้วย เขายิ้มน้อยๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน
แต่ในขณะนั้น เขาพลันรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณที่แห้งเหือดได้สั่นสะเทือนขึ้น พลังบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งไหลพรั่งพรูออกมา ทำให้พลังเวทภายในร่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะเชื่อ
ตอนแรกหลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมากแต่ครู่เดียวก็รู้สึกดีใจขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามือแล้วเริ่มกำหนดลมหายเข้าออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง พลังเวทในร่างเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมากว่าครึ่งหนึ่งของพลังเวทก่อนที่จะเข้าไปยังห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น แต่พลังที่พรั่งพรูออกมาจากทะเลจิตวิญญาณนั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นพลังที่เยือกเย็นอย่างสุดขั้ว
หลิ่วหมิงแค่รู้สึกว่าพลังเยือกเย็นนี้แผ่กระจายภายในร่าง แล้วร่างทั้งร่างเขาก็แข็งทื่อราวกับตกลงไปยังอุโมงค์น้ำแข็ง
เขาตกใจมาก คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้วิชาอื่น แต่ชั่วพริบตานั้นแม้แต่นิ้วมือก็ไม่อาจกระดิกได้ พลังเยือกเย็นภายในร่างก็พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นท่อระบาย
ใบหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวสุดขีด เขาบังคับสายตาให้กวาดมองลงด้านล่างกลับค้นพบว่ามือทั้งสองที่เคยอิ่มเอิบเปล่งปลั่งเหี่ยวเฉาลงกับตาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ก็เริ่มแห้งเหี่ยว และปรากฏสีเขียวจางๆ ขึ้นมา “เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ”
ภายใต้การตกใจของหลิ่วหมิง พลันปรากฏคำที่เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณขึ้นในสมอง ในขณะเดียวกันก็นึกถึงสาเหตุของพลังเยือกเย็นขึ้นมาได้โดยฉับพลัน
แปดถึงเก้าในสิบส่วนของพวกมันคือปราณหยินจำนวนมากที่แมงป่องกระดูกขาวดูดเข้ามา แล้วถูกเจ้าฟองอากาศกลืนกิน ตอนนี้มันถูกทำให้บริสุทธิ์เหมือนพลังอื่นๆ แล้วสะท้อนกลับคืนมา
แต่สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้ปราณหยินเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนพลังเวทได้ แต่มันก็แฝงพลังเยือกเย็นไว้ด้วย และยิ่งทำให้เลือดเนื้อในร่างของเขากลายเป็นร่างปีศาจธาตุหยิน ครั้นแล้วก็จะกลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง
ชั่วพริบตาที่หลิ่วหมิงคิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ใจเขาก็ร่วงหล่นลงไป
พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดในตัวยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พลังเวททั่วร่างของเขาก็ราวกับโดนแช่แข็งจนไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้
เขารู้สึกลนลานขึ้นมา แต่ทันใดทันนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะใช้พลังเวทเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เขาใช้พลังจิตกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณทันที
ทะเลจิตวิญญาณที่เกาะกันจนแข็งตัวก็ค่อยๆ กระเพื่อม ในที่สุดพลังเวทจำนวนหนึ่งก็เคลื่อนไหวออกมา
หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทเหล่านี้กระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และยอมเสี่ยงให้ชีพจรต่างๆ เสียหายเพื่อที่จะควบคุมพลังเยือกเย็นเหล่านี้ให้ได้
แต่ตอนที่ฝืนให้เคล็ดวิชากระดูกดำนี้โคจรขึ้นมา เรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ปรากฏขึ้น
พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดแบ่งเป็นสองส่วนในทันที ส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังเวทบริสุทธิ์ อีกส่วนหนึ่งกลับค่อยๆ จมหายเข้าไปในกระดูกส่วนต่างๆ อย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่สถานการณ์ในการตอนนี้ทำได้แค่ยับยั้งไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็นปีศาจ ย่อมไม่สามารถคำนึงถึงเรื่องอื่นๆ ได้ จิตเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้วก็พยายามกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างสุดชีวิต
ฉากอันน่าแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว
ด้านหนึ่งหลิ่วหมิงขับพลังเยือกเย็นออกจากทะเลจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด อีกด้านหนึ่งกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ จนทำให้พลังงานเยือกเย็นส่วนหนึ่งก็ค่อยๆ กลายเป็นพลังเวท และอีกส่วนหนึ่งละลายเข้าไปในกระดูก
ในระหว่างที่ทำทั้งสองสิ่งนี้ ก่อให้เกิดความสมดุลชั่วคราว
แต่ในสุดร่างปีศาจที่หลิ่วหมิงกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ก็ได้หยุดลง
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทะเลจิตวิญญาณของเขาสั่นเล็กน้อยแล้วพลังเยือกเย็นแปลกประหลาดที่พรั่งพรูออกมาก็หยุดลง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเพิ่มการกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำให้มากขึ้น
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อพลังเยือกเย็นสุดท้ายถูกเคล็ดวิชากระดูกดำละลายไปจนหมด ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หลิ่วหมิงหยุดกระตุ้นเคล็ดวิชานี้ แล้วสังเกตดูมือทั้งสองที่กลับมาอิ่มเอิบเปล่งปลั่งดังเดิม เขาถอนหายใจยาวออกมา แต่ความหวาดกลัวในใจยังไม่หายไป
ถ้าเมื่อครู่เขาลังเลอีกเล็กน้อย เกรงว่าคงจะต้องกลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ
แต่เคล็ดวิชากระดูกดำนี้สามารถละลายพลังเยือกเย็นที่ค่อยๆ กัดกร่อนเข้ามาได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็เท่ากับว่าถึงแม้ต่อไปเขาจะอยู่ที่แดนปีศาจปรโลกเป็นเวลานาน ก็ไม่มีปัญหาอะไร? ไม่สิ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามายังแดนปีศาจปรโลก และลองกระตุ้นฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำทำไมถึงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พลังเยือกเย็นบริสุทธิ์ภายในร่างเขาต่างกับปราณหยินทั่วไปมากนัก
พลังที่ปราณหยินสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้น มันถูกส่งเข้ามาจากแมงป่องกระดูกขาวตัวนั้นก่อน จากนั้นผ่านการกลืนกินของเจ้าฟองอากาศลึกลับนั่นแล้วคลายออกมาเป็นพลังอันบริสุทธิ์ ดังนั้นลักษณะเฉพาะของมันจึงเปลี่ยนไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้แล้วก็สะบัดศีรษะ
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์เมื่อครู่เกือบจะทำให้เขากลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง ช่างหวาดเสียวเสียจริง ต่อให้ฝึกฝนอยู่ที่นี่แล้วมีพลังเพิ่มพูนขึ้น แต่เขาก็จะไม่ยอมลิ้มรสชาติแบบนี้อีกเด็ดขาด
พอหลิ่วหมิงนึกถึงแมงป่องกระดูกขาวก็หันไปมองอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย
ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวถูกไอสีเขียวกลุ่มใหญ่ปกคลุมจนจมอยู่ในนั้น
ด้วยความหนาแน่นเข้มข้นจนเกือบเกาะตัวเป็นก้อนของไอสีเขียวกลุ่มนี้ แม้แต่สายตาของหลิ่วหมิงก็ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ในนั้น
คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แล้วก็นึกถึงพลังเยือกเย็นที่สะท้อนกลับมาเมื่อสักครู่
ในเมื่อแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับเหมือนกัน หรือว่าก็มีพลังสะท้อนแบบนี้กลับมาให้มันด้วย ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์กับเขาทั้งนั้น
คิดได้แบบนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยแล้วรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง
รอไปรอมา เวลาหนึ่งมื้อข้าว[1] ก็ผ่านไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา