สรุปเนื้อหา ตอนที่ 720 ซากโบราณเผ่าทราย – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 720 ซากโบราณเผ่าทราย ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
และในส่วนลึกสุดของซากโบราณนี้ สามารถมองเห็นตำหนักโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่ง
แต่ว่าภายในตำหนักไม่ได้หรูหราเหมือนกับชั้นนอก วัสดุที่ใช้ก็ดูธรรมดามาก
“พี่หลิ่ว พวกเราไปกันเถอะ!” ซาฉู่เอ๋อร์คงเคยมาที่นี่มาก่อน สีหน้าของนางดูสงบเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงได้ยินก็สงบสติอารมณ์แล้วเดินตามไปทันที
“เดี๋ยวก่อน!”
เพิ่งจะเข้าไปยังขอบรอบๆ ซากโบราณไปไม่กี่ก้าว สีหน้าซาฉู่เอ๋อร์ก็พลันเปลี่ยนไปทันที นางคว้าหลิ่วหมิงไว้ จากนั้นทั้งสองก็หลบไปอยู่ด้านหลังกำแพงท่อนหนึ่งที่พลังทลายลงมา
หลิ่งหมิงกำลังจะอ้าปากถาม แต่พอเหลือบตามองก็ต้องรีบหุบปากทันที
จะเห็นว่าห่างจากตรงหน้าทั้งสองไปร้อยกว่าจั้ง มีเสียงฝีเท้าก๊อกแก๊กดังเข้ามา จากนั้นหุ่นนักรบตัวหนึ่งที่สูงเท่าคนหนึ่งคนก็ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังกำแพง
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป จะเห็นว่าหุ่นตัวนี้สวมเกราะสีทอง มีหมวกเกราะสวมอยู่บนศีรษะ ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดงราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่
หัวของมันค่อยๆ มองดูรอบด้านอย่างช้าๆ จากนั้นก็หายไปในบ้านทรุดโทรมหลังหนึ่ง
“นี่คือหุ่นที่อยู่รอบนอก ไม่ต้องกังวลไป รัศมีระมัดระวังภัยของมันอยู่ภายในระยะสามสี่จั้งเท่านั้น ไม่อาจค้นพบพวกเราได้” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์เห็นหุ่นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวออกมาเบาๆ
รอจนหุ่นนักรบเดินออกไปไกล ทั้งสองถึงเดินไปยังส่วนลึกของใจกลางซากโบราณต่อ
“ในซากโบราณมีหุ่นแตกต่างกันราวๆ สิบชนิด นอกจากหุ่นที่พวกเราเพิ่งค้นพบในเมื่อครู่แล้ว ยังมีหุ่นอสูรอยู่จำนวนหนึ่ง โดยพื้นฐานจะเดินไปตามจุดต่างๆ ในซากโบราณ พอพวกมันเจอผู้บุกรุก ก็จะโจมตีอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนที่คนของเผ่าข้ามาที่นี่นั้น ก็เจอกับอุปสรรคไม่น้อย” ซาฉู่เอ๋อร์เดินอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็พูดอธิบายเบาๆ
หลิ่งหมิงพยักหน้า เรื่องราวเหล่านี้เมื่อวานท่านผู้เฒ่าก็ได้กล่าวถึงอยู่
“นิสัยของหุ่นในสถานที่แห่งนี้ ล้วนมีการโจมตีที่ไม่เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันเป็นหุ่นก็ย่อมมีจุดอ่อนอยู่บนตัว…” ซาฉู่เอ๋อร์แนะนำสถานการณ์ของหุ่นในสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด หลิ่วหมิงเองก็ฟังแล้วจดจำไว้ในใจ
ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็หันกลับไปที่มุมๆ หนึ่ง
“เอ๊ะ?” หลิ่วหมิงหยุดฝีเท้าลงในฉับพลัน และเดินไปหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา
ของสิ่งนี้คือแขนสีดำท่อนหนึ่ง มันยาวหนึ่งจั้งกว่า มีฝุ่นสีดำปกคลุมอยู่ไม่น้อย ตอนที่ถืออยู่ในมือก็รับรู้ได้ถึงความเย็นของมัน
“นี่คงเป็นแขนของหุ่นมนุษย์วานร เดิมทีภายนอกสิ่งก่อสร้างก็มีเศษชิ้นส่วนของหุ่นหลากหลายชนิด ไม่มีอะไรน่าแปลกใจแต่อย่างใด” ซาฉู่เอ๋อร์มองดูแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงยักไหล่แล้วโยนออกไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ห่างจากทั้งสองไปไม่ไกล
พอหลิ่วหมิงมองไปยังที่มาของเสียง จะเห็นว่าหุ่นวิหคสีดำแปลกประหลาดบนอากาศ กำลังพุ่งมาทางทั้งสองอย่างรวดเร็ว
วิหคประหลาดตัวนี้มีสีดำทั้งตัว ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีแดง มีปีกคล้ายค้างคาว แผ่ออกมาได้ยาวสามถึงสี่จั้ง และที่น่าสะดุดตาที่สุดก็คือ ปากอันแหลมคมที่ยาวหนึ่งหมี่กว่าๆ ขอบเปลือกปากมีลักษณะคล้ายกับฟันเลื่อย ทั้งยังมีหนามแหลมๆ จำนวนไม่น้อย แลดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นแค่หุ่น แต่มันดูราวกับมีชีวิต ซึ่งไม่แตกต่างจากอสูรวิหคโดยทั่วไปเลย
“แย่แล้ว! มัวแต่พะวงหุ่นบนพื้นดิน ลืมไปว่ายังมีวิหคหินดำชนิดนี้ด้วย!” พอซาฉู่เอ๋อร์เห็นวิหคประหลาดตัวนี้ กลับหลุดปากส่งเสียงออกมา พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทรายสีดำก็หมุนตัวติ้วๆ รวมตัวกันบนมือข้างหนึ่ง และกลายเป็นดาบทรายสีดำหนึ่งเล่ม
“อ้อ! หุ่นชนิดนี้ร้ายกาจมากหรือ?” หลิ่วหมิงไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปมากนัก ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่ได้มีแนวคิดใดๆ เกี่ยวกับวิหคหินดำเลย
ซาฉู่เอ๋อร์กำลังจะตอบกลับ แต่วิหคประหลาดสีดำได้พุ่งมาถึงตรงหน้าของทั้งสองแล้ว
นางทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง ขณะที่กำลังกระตุ้นดาบทรายสีดำในมือให้ออกไปรับมือนั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างกลับอ้าปากปล่อยกระบี่เล็กสีทองพุ่งยิงออกไปก่อนแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งม้วนตัวผ่านวิหคประหลาดไป
“ฉับ!”
หุ่นวิหคยักษ์กลายเป็นสองชิ้นและพุ่งผ่านด้านข้างของทั้งสองไป มันร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง และไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
และแกนหลักสีขาวในร่างของหุ่นตัวนี้ ก็แตกกระจายเป็นผุยผงในตอนที่แสงกระบี่ม้วนตัวผ่านไป
“ท่านผ่าหุ่นวิหคหินดำเช่นนี้หรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับรู้สึกตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ดาบทรายในมือก็สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมล่ะ! มีอะไรน่าแปลกใจหรือ?” หลิ่วหมิงยกมือเรียกกระบี่บินกลับมา และถามกลับไปหนึ่งประโยค
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ไม่ได้รีบตอบกลับในทันที แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากเม็ดทรายตัวเกาะตัวในมือแล้ว มันก็กลายเป็นดาบทรายอีกครั้ง และแสงสีดำก็เปล่งประกายไปฟันร่างครึ่งส่วนของวิหคประหลาด
“เพล้ง!”
มีรอยสีทองดำหนึ่งชุ่นกว่าๆ ปรากฏอยู่บนตัวหุ่นวิหค และมันก็ไม่ได้ถูกฟันจนขาด
“หุ่นวิหคหินดำชนิดนี้ สร้างขึ้นจากทรายทองดำที่มีเฉพาะในส่วนลึกของแดนศักดิ์สิทธิ์ ร่างของมันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พูดถึงระดับความอันตรายแล้ว อยู่ในสามอันดับแรกของหุ่นที่อยู่รอบนอก ดาบทรายของเผ่าทรายเรายังสามารถฟันหมาไนทรายได้ แต่กลับไม่มีผลอะไรกับมันเลยแม้แต่น้อย จึงมองว่ามันร้ายกาจมาก” ซาฉู่เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่ที่มองดูหลิ่วหมิงก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางซากโบราณ สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดขาวมากขึ้น ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็ดูอ่อนลง
ดูท่าตำหนักที่อยู่ใจกลางสุดของซากโบราณที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง เป็นสถานที่ต้องห้ามของคนเผ่าทรายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง
พอมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งก่อสร้างบริเวณใกล้เคียงก็ดูเหมือนจะค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งล้วนเป็นบ้านหินสีดำแปลกประหลาดจัดเรียงอย่างสะเปะสะปะ
ประตูบ้านหินส่วนใหญ่เปิดอยู่ มีอักขระโบราณแปลกประหลาดสลักอยู่บนนั้นไม่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงวินิจฉัยดูอย่างละเอียดแล้ว มันคงเป็นชั้นจำกัดโบราณบางอย่าง มันดูสลัวๆ ไร้แสง และบนประตูบางบานยังมองเห็นรอยของการถูกทำลายอยู่
รอบๆ บ้านหินยังสามารถมองเห็นซากหุ่นที่มีสภาพไม่สมบูรณ์กระจายอยู่ไม่น้อย มีทั้งส่วนแขน ส่วนขา และร่างครึ่งหนึ่ง ส่วนมากล้วนถูกทรายสีดำปกคลุมไว้ ประจักษ์ชัดว่าผ่านเวลามานานแล้ว
จากทั้งหมดนี้สามารถมองออกได้อย่างลางๆ ว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดมาก่อน
“ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของคนเผ่าทรายของพวกเจ้าหรือ?” หลิ่วหมิงชี้ไปยังร่องรอยบนประตูแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ซากโบราณแห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับเผ่าทรายเรา แม้ว่าพวกเราจะมาหาชิ้นส่วนของหุ่นจำนวนหนึ่งอยู่บ้าง แต่จะไม่แต่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนที่นี่” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ต้องโทษที่ข้าเสียมารยาทไปหน่อย” หลิ่วหมิงกล่าวในเชิงขอโทษ
ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของคนเผ่าทราย ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนที่บุกรุกเข้ามาจากภายนอก และทำการต่อสู้กับหุ่นผู้พิทักษ์อย่างดุเดือด
เวลาต่อมา ทั้งสองก็ค้นหาพื้นที่บริเวณนั้นอยู่พักหนึ่ง หลังจากตรวจสอบดูบ้านหินสิบกว่าหลังแล้ว ก็ค้นพบซากหุ่นจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่พบชิ้นส่วนที่ดูคล้ายหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวเลย
“แม่นางซา ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาพวกเราก็เจอกับหุ่นจำนวนไม่น้อย เหตุใดถึงไม่เจอกับหุ่นมนุษย์ยักษ์เลย?” เมื่อทั้งสองเดินออกจากบ้านหินหลังหนึ่งด้วยมือเปล่า หลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วถามเบาๆ
“แม้ว่าหุ่นมนุษย์ยักษ์จะไม่ใช่หุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดในซากโบราณ แต่กลับเป็นหุ่นไม่กี่ชนิดที่เผ่าทรายเราสามารถควบคุมได้ มันมีจำนวนน้อยมาก ครั้งนี้จะสามารถหาชิ้นส่วนแกนหลักได้หรือไม่นั้น ยังต้องดูโชคชะตาด้วย” ซาฉู่เอ๋อร์รู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองค้นหาไม่เจออะไร จึงได้แต่เดินเข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณต่อ
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา