อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่การร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ เกรงว่าคงจะโจมตีหุ่นทีละตัวได้ยาก และแรงระเบิดในก่อนหน้านั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ขั้นต้นเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่ว่าเขาไหวตัวเร็ว และกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรให้กลายเป็นเกราะหนังสีเงินมาต้านทานไว้ด้านหน้าก่อนท่อนแขนระเบิดมาล่ะก็ เกรงว่าการโจมตีนี้คงจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
พอเห็นว่าการระเบิดแขนของหุ่นไม่ได้ทำให้หลิ่วหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หญิงชุดชาววังก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ดูท่าข้าคงจะดูเบาเจ้าไปจริงๆ” หญิงชุดชาววังมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงขีดสุด แสงสีเลือดในดวงตาเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
และหุ่นที่แขนขาดไปครึ่งหนึ่งก็ส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านข้างหุ่นทองสัมฤทธิ์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่อีกมุมของห้องโถงใหญ่ และฉีกแขนของหุ่นทองสัมฤทธิ์ที่เห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าออกมา จากนั้นก็กดลงบนแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว
ฉากน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้นแล้ว!
พอแขนครึ่งท่อนของหุ่นทองสัมฤทธิ์สัมผัสกับตอแขนที่ขาด หมอกควันสีขาวจางๆ ก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนวนอยู่พักหนึ่ง แขนข้างนั้นก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าอันเก่าเท่าตัว มันก็ดูเหมือนกับว่ามีมาตั้งแต่เกิด
สำหรับหุ่นจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตนเอง หลิ่วหมิงย่อมรู้จักอยู่บ้าง แต่วิธีการซ่อมแซมแบบที่เห็นตรงหน้านี้ ยังคงทำให้เขาตกตะลึงจนตาค้างไม่น้อย
ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็นึกได้ว่าตนเองเคยอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับนิกายเทียนกงในหอเก็บคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์โดยไม่ตั้งใจ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับเลือดเนื้อของหุ่นชนิดหนึ่ง
หุ่นชนิดนี้ไม่เหมือนกับหุ่นทั่วไป ร่างของมันสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อของผู้ฝึกฝน และก็เป็นหุ่นที่มีสติปัญญาชนิดหนึ่ง หลังจากปรับแต่งเสร็จ หากได้รับบาดเจ็บในขณะต่อสู้ล่ะก็ สามารถใช้ร่างของหุ่นตัวอื่นมาต่อได้อย่างรวดเร็ว
พูดอีกอย่างก็คือ ตราบใดที่แกนหลักภายในร่างไม่ได้รับความเสียหาย และมีหุ่นตัวอื่นอยู่ในที่เกิดเหตุล่ะก็ สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ตลอดเวลาอย่างง่ายดาย
แต่ว่าวิธีการสร้างร่างของหุ่นชนิดนี้ค่อนข้างจะโหดเหี้ยมเกินไป จึงถูกนิกายเทียนกงสั่งให้เป็นหนึ่งในเจ็ดชนิดของหุ่นที่ห้ามสร้างขึ้นมา ว่ากันว่ามีแต่ประมุขและผู้อาวุโสสูงสุดในอดีตเท่านั้นที่สามารถตรวจอ่านคัมภีร์นี้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอมันในสถานที่แห่งนี้ถึงสองตัว
น่าจะเป็นเพราะว่าสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อมนุษย์ ชั้นจำกัดของเด็กหญิงจึงไม่ส่งผลกระทบต่อมัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองถึงแผนการรับมือ ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นมากระตุ้นเคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนอย่างรวดเร็ว เงาร่างทั้งสามเดินไปมาในห้องโถงอยู่ไม่หยุด และทำการต่อสู้กับหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองตัว
แต่ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ หุ่นนักรบทั้งสองเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว เงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงก็ถูกฟันสลายไป และขนาบร่างจริงไว้ทั้งหน้าหลัง จากนั้นก็ฟันแสงดาบปราณกระบี่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งสองด้าน หลิ่วหมิงเพียงแค่บิดเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างของเขาก็ยืดยาวจนหลบการโจมตีนี้ไปได้ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงา เงาร่างสองเงาเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด และมาปรากฏตัวด้านหลังหุ่นทั้งสองโดยไม่คาดคิด
“ฟิ้ว!”
พอเงาร่างเงาหนึ่งร่วงลงด้านหลังของหุ่นที่ถือกระบี่ มันก็ถูกแสงกระบี่ฟันจนแตกกระจาย
และหุ่นที่ถือดาบก็ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากพลิกฝ่ามือฟันแสงดาบสีเขียวออกไป ถึงปกคลุมเงาร่างด้านหลังไว้ได้
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!”
หลิ่วหมิงร่อนลงห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากพูดพึมพำไปหนึ่งประโยคแล้ว ดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขาจะถูกควบคุมไว้ แต่การสังเกตของเขาไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้กลับเฉียบไวกว่าเดิม
การใช้เงาทดสอบดูในก่อนหน้า ก็ค้นพบว่าหุ่นถือดาบที่ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือปฏิกิริยาตอบสนองล้วนช้ากว่าตอนที่ปรากฏตัวเล็กน้อย
ประจักษ์ชัดว่าหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองตัวไม่ใช่หุ่นที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่าการซ่อมแซมแขนหนึ่งครั้ง พลังของมันจะลดลงไปเช่นนี้
ดูจากสถานการณ์เช่นนี้ พลังที่สะสมอยู่ในร่างของหุ่นเลือดเนื้อทั้งสองดูเหมือนจะมีไม่มากแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็หยิบโอสถจินหยวนมาทานอย่างรวดเร็ว แสงสีเงินเปล่งประกายบนแขนทั้งสอง เกราะหนังสีเงินบนตัวกลายเป็นถุงมือห่อหุ้มแขนทั้งสองไว้ จากนั้นก็สร้างเงาร่างออกมาด้านหลัง พอกระตุ้นจนถึงขีดสุดแล้ว ก็พุ่งไปรับมือกับหุ่นที่โจมตีเข้ามา
ในระหว่างที่พุ่งโจมตี ถุงมือสีเงินบนมือหลิ่วหมิงก็เปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า หลังมือกับปลายเล็บพลันเกิดเสียงดัง “เช้ง!” จากนั้นคมดาบสีเงินคมกริบก็พุ่งออกมานับไม่ถ้วน
ครู่ต่อมา ‘หลิ่วหมิง’ ที่มีไอดำพวยพุ่งทั้งสามคน ก็เคลื่อนไหวไปมาระหว่างหุ่นทั้งสอง ขณะเดียวกัน แสงสีเงินก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลังจากมีประสบการณ์การต่อสู้กับจินเลี่ยหยาง ราชาปีศาจสมุทรและคนอื่นๆ มานับพันครั้ง ตอนนี้ต่อให้ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงจะลดลงมาที่ระดับของเหลว แต่ภายใต้การคุ้มกันของเงาร่างสามส่วน ทำให้ร่างจริงของเขาหลบการโจมตีของดาบกระบี่ของหุ่นทั้งสองได้อย่างแปลกประหลาด และยังอาศัยคมดาบในมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
และพอเงาร่างถูกฟันจนสลายไป เขาก็แบ่งเงาร่างเข้าไปร่วมต่อสู้ใหม่อย่างไม่เสียดายพลังเวท
แสงสีเงินกรีดเลือดเนื้อบนตัวของหุ่นสีดำทั้งสองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทุกครั้งที่มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายบนหน้าอกของหุ่น หมอกควันสีขาวจะลอยผ่านบาดแผลบนตัว ทำให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองและความเร็วของหุ่นทั้งสองกลับค่อยๆ ช้าลง
เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากเลือดเนื้อของหุ่นสองตัวนี้สามารถระเบิดตัวเองได้ตามอำเภอใจ จึงไม่สนใจป้องกันแต่อย่างใด แม้กระทั่งไม่คิดจะหลบหลีกการโจมตีของหลิ่วหมิงด้วย
ทันใดนั้น แสงสีทองระยิบระยับก็กะพริบผ่านไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา