“ศิษย์พี่หลิ่วนี่เอง! ไม่พบกันนานเลย ศิษย์พี่มาหอเก็บคัมภีร์หาคัมภีร์อีกแล้ว” ผู้ดูแลอ้วนแซ่หลี่ว์เห็นหลิ่วหมิงเข้าประตูมาก็มาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย นับตั้งแต่เขากลับมาจากงานประตูสวรรค์ ทุกครั้งที่มาถึงหอเก็บคัมภีร์ รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลหลี่ว์คนนี้ยิ่งกว้างขึ้นกว่าครั้งก่อน กระตือรือร้นกับเขายิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า
หลังหลิ่วหมิงตอบรับง่ายๆ สองประโยคก็ก้าวเท้าเดินไปชั้นสอง
หลิ่วหมิงตรงไปยังชั้นที่สี่ของหอเก็บคัมภีร์ ภายในห้องมหึมาว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ชั้นหนังสือไม้ไม่น้อยวางกระจัดกระจาย เทียบกับชั้นอื่นด้านล่างแลดูรกกว่าอยู่บ้าง บนชั้นฝุ่นจับตัวหนา
ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่หลายครั้ง สิ่งที่เก็บอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่คือวิชาที่มีเงื่อนไขเข้มงวดจนไม่ได้รับความนิยมจำนวนหนึ่งและคัมภีร์ซึ่งมีอุปสรรคในการฝึกฝนที่ผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ แต่สิ่งที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่น้อยคนจะถามถึง
สภาพของเขาค่อนข้างพิเศษ คิดว่าคงได้แต่ค้นหาวิธีจัดการปัญหาจากในหมู่คัมภีร์ที่ไม่เป็นที่นิยมเหล่านี้
หลิ่วหมิงอยู่ที่นี่สามวัน
สามวันนี้เขาอ่านคัมภีร์หยกมาไม่น้อยกว่าห้าหกร้อยเล่ม หาวิธีชั่วคราวสำหรับจัดการพลังเวทที่ถูกกรงขังดูดไปพบอยู่บ้าง
แรกสุดเขาพบวิชาประหลาดวิชาหนึ่งที่กล่าวว่าตกทอดมาจากผู้ฝึกฝนยุคโบราณอยู่ในหลืบมุมที่ไม่มีใครสนใจมุมหนึ่ง มันชื่อว่าวิชาวิญญาณโลหิต
วิชานี้คล้ายคลึงกับวิชาประเภทฝึกร่าง ทว่าค่อนข้างแตกต่างจากวิชาฝึกร่างในปัจจุบัน หลังฝึกฝนวิชานี้จะเพิ่มเลือดและปราณจำนวนมากให้กับตัวผู้ฝึกฝนได้
สำหรับผู้ฝึกฝนจำนวนมากเพียงเลือดและปราณเพิ่มขึ้นอย่างเดียวย่อมมีประโยชน์สู้วิชาฝึกร่างทั่วไปวิชาอื่นที่ยกระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อไม่ได้ มันมีประโยชน์อย่างมากกับคนจำนวนหนึ่งที่ฝึกฝนวิชาลับสายโลหิตเท่านั้น
ทว่ายามที่หลิ่วหมิงพลังเวทไม่พอให้ฟองอากาศลึกลับดูดซับ บางทีมันอาจเพิ่มโอกาสรักษาชีวิตได้บ้าง
แต่การฝึกฝนวิชาวิญญาณโลหิตนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย นอกจากนี้ต้องฝึกฝนจนถึงขั้นปลายถึงจะช่วยเขาได้
หลิ่วหมิงคำนวณครู่หนึ่ง จะฝึกฝนวิชานี้ไปถึงขั้นปลายอย่างน้อยก็ต้องการเวลายี่สิบสามสิบปี ตอนนี้เขาถูกเวลาบีบคั้น วิชานี้ย่อมได้แต่ตัดทิ้ง
นอกเหนือจากนี้เขายังพบบันทึกฉบับหนึ่งในคัมภีร์เล่มหนึ่ง เล่าว่าในนิกายยันต์ลี้ลับซึ่งเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่โด่งดังด้านการสร้างยันต์นิกายหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียนมียันต์ชนิดหนึ่งที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณชื่อว่ายันต์ผสานวิญญาณ
ยันต์นี้ต้องใช้วิญญาณทั้งดวงของปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ผนึกไว้ด้านใน ผู้ฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เมื่อใช้ยันต์นี้จะดึงวิญญาณของปีศาจอสูรมาผสานเป็นหนึ่งกับตนเองได้ ว่ากันว่าทำให้พลังของตนแข็งแกร่งขึ้นจนไปถึงระดับเดียวกับปีศาจอสูรได้เจ็ดวัน แม้ผู้ฝึกฝนระดับสูงกว่าระดับแก่นแท้ใช้ก็เพิ่มพลังเวทได้เท่าหนึ่ง พลังเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
แน่นอนทำเช่นนี้ย่อมมีผลเสียตามหลังหนักหนายิ่ง สร้างความเสียหายให้ร่างกายและเส้นลมปราณมากอย่างที่สุด
หลังการผสานวิญญาณจบลง พลังของผู้ฝึกฝนจะลดฮวบลงมาอย่างน้อยหนึ่งขั้น และหลังจากนั้นหากคิดจะก้าวหน้าอีกครั้งก็จะยากกว่าเดิม
วิธีฆ่าไก่เอาไข่เช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในการพิจารณาของหลิ่วหมิง อีกอย่างยันต์ผสานวิญญาณนี้ก็เป็นยันต์ที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ของนิกายยันต์ลี้ลับ ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้ก็จะเอามาได้
วิธีอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นน้ำที่อยู่ไกลจนมิอาจแก้กระหายก็เป็นการรักษายอดไม่รักษาราก ล้วนไม่ใช่วิธีที่จัดการปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง
“ช่างเถิด ดูท่าอาศัยกลโกงคงไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่หลัวโหวว่าฝึกฝนอย่างซื่อตรง” หลิ่วหมิงวางคัมภีร์หยกที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งในมือลง ความหวังที่จะเจอโชคสายสุดท้ายดับลงไปด้วย
เขาเริ่มตั้งใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับแก่นเสมือนต่อทันที จากนั้นก็คิ้วขมวดออกจากหอเก็บคัมภีร์ไป
แต่ระหว่างทางกลับถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงไม่รู้คิดสิ่งใดได้ หลังกลับมาถึงยอดเขาลั่วโยวจึงไม่ได้ตรงกลับถ้ำที่พักทันที แต่เหาะตรงไปที่ยอดเขา
ครู่หนึ่งให้หลังหน้าประตูวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว แสงสีทองก็ดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา
“ศิษย์พี่หลิ่วมา!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นร่างของหลิ่วหมิงปุบก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ คำนับอย่างนอบน้อมหนึ่งครั้ง
ศิษย์ทั้งหมดบนยอดเขาลั่วโยวต่างรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ที่โด่งดังที่สุดบนยอดเขาลั่วโยวตอนนี้ เขาคว้าอันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์มาได้ ไม่เพียงได้รับความสำคัญจากอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาอย่างมาก กระทั่งเทียนเกอเจินเหรินก็ชื่นชมเขายิ่งนัก
ไม่ว่าเหตุผลไหน เขาล้วนเป็นเป้าหมายที่ศิษย์ทั่วไปแหงนหน้ามอง
“ไม่ทราบอาจารย์อยู่ในวิหารหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ศิษย์พี่มาได้เวลาจริงๆ ผู้ควบคุมยอดเขาอินตอนนี้อยู่ในวิหาร ศิษย์พี่หลิ่วรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้ท่านเดี๋ยวนี้” ศิษย์ที่เฝ้าประตูรีบร้อนเอ่ยตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าไปในวิหาร
“ไม่ต้องแจ้ง เข้ามาเลย” ทันใดนั้นเสียงของอินจิ่วหลิงก็ดังออกมาจากในวิหาร
หลิ่วหมิงได้ยินก็จัดเสื้อผ้าเล็กน้อยจากนั้นเดินเข้าไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ
ศิษย์ที่เฝ้าประตูชะงักเท้า เขามองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงอย่างอิจฉาหนหนึ่งแล้วเดินมายืนนิ่งด้านข้าง เฝ้าประตูต่อไป
ในห้องโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า อินจิ่วหลิงนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ มองมาคล้ายอารมณ์ดียิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา