ใบหน้าเขาเวลานี้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาเล็กน้อย มุมปากมีเลือดสายหนึ่งติดอยู่ ลมปราณดีขึ้นกว่าเมื่อครู่อยู่บ้างแต่ยังคงแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด เห็นชัดว่าเมื่อครู่บาดเจ็บไม่เบา
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้เยาว์ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าท่านผู้เฒ่าขุยตี้จะประทับร่างลงบนหุ่นของนาง มิเช่นนั้นผู้เยาว์จะสอดมือยุ่งไม่เข้าเรื่องได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้น
“เหอะ เจ้าเด็กรุ่นหลังคนนี้ไม่ต้องเอาขุยตี้มากดดันข้า เรื่องนี้ข้าจะรายงานหัวหน้าตระกูลแน่นอน แต่ในเมื่อสาวน้อยคนนั้นจากไปแล้ว เจ้าก็คงไม่ต้องอยู่ใกล้ๆ ตระกูลโอวหยางต่อแล้ว รีบจากไปเสียตอนนี้ แล้วอย่าลืมว่าเจ้ายังติดค้างคำขอข้อหนึ่งของตระกูลโอวหยางเรา ยามที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าพวกเราจะส่งข่าวไปหาเจ้าแน่” บุรุษผู้สยายผมแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง มือใหญ่ก็สะบัดพาพวกผู้เฒ่าผมขาวที่เบิกตาค้าง สี่คนด้านข้างแหวกท้องฟ้าจากไป
ชั่วพริบตาสถานที่ลับสำหรับเร้นกายของโอวหยางขุยก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงยืนอยู่เดียวดาย โอวหยางขุยกับคนในครอบครัวที่เหลือเหมือนจะหมดสติกันหมด แต่หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสดูแล้วพบว่าคนเหล่านี้ล้วนแค่เป็นลมไปเพราะแรงกดดันจิตวิญญาณของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก่อนหน้านี้เท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก
หลิ่วหมิงกลับไปในจวนใหม่อีกครั้ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง
ครู่หนึ่งให้หลังเขาถึงถอนหายใจแผ่วเบา มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาแล้วกลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งมุ่งไปยังทางออก
หลังออกจากสถานที่เร้นกายของโอวหยางขุยมาแล้ว เขาก็เคลื่อนลำแสงต่อไป มุ่งเร็วรี่ไปยังเมืองหนานหมิง
ครึ่งวันให้หลังลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็ออกจากเมืองหนานหมิงไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
แสงสีแดงหุ้มเรือเหาะหยกลำหนึ่งที่มีเงาร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ร่างหนึ่งเล็กนั่งอยู่แหวกท้องนภาไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ไกลออกไป
เวลาหลายเดือนผ่านไปเพียงพริบตา!
วันนี้นอกวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณมีแสงสีทองสายหนึ่งเหาะมาจากที่ไกลแสนไกลอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงมา
แสงสีทองดับลงเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ข้างกายเขามีเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือเยี่ยเฮ่าเด็กกำพร้าทายาทตระกูลเยี่ยผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณเนตรทองดวงตาหยกนั่นเอง
หลังเดินทางกลับจากตระกูลโอวหยางมาถึงนิกายครั้งนี้ เขาไม่ได้กลับถ้ำที่พักของตนเองทันที แต่มาที่หอภารกิจนอกเพื่อตามหาผู้ดูแลที่รับผิดชอบการรับศิษย์สักคนก่อน
เขาสอบถามสักพักถึงรู้ว่าหากศิษย์สายในพบผู้ที่ครอบครองร่างกายชนิดพิเศษหรือมีสายเลือดต่างเผ่าไม่จำเป็นต้องรอการรับสมัครรอบใหญ่ของแต่ละปี ให้ผู้ดูแลของหอภารกิจนอกตรวจสอบเขาแล้วสุ่มจัดสรรเขาไปยังนิกายสายนอกได้เลย
หรือจะให้ผู้ดูแลของนิกายสายนอกแต่ละแห่งมาตรวจสอบเขาโดยตรง แล้วให้นิกายสายนอกตัดสินใจเองว่าจะรับเขาหรือไม่ก็ได้
ซึ่งในความเป็นจริงนิกายสายนอกทั้งแปดก็มักจะปรารถนาคนที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเหล่านี้อย่างยิ่งยวดอยู่แล้วเพื่อยกระดับพลังของตนแย่งชิงทรัพยากรจากนิกาย
หลังหลิ่วหมิงใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพาเขามายังสาขาห่านฟ้า อย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์ของสาขาห่านฟ้า หากพาคนไปเอง หัวหน้าสาขาห่านฟ้ารวมถึงผู้ดูแลอีกจำนวนหนึ่งอาจจะดูแลเด็กคนนี้เพิ่มอยู่บ้าง
ผลปรากฏว่าทั้งสองคนเพิ่งเหยียบวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าก็ถูกศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ที่ท่าทางเหมือนจะเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งขวางไว้
“หยุดนะ พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่สาขาห่านฟ้าของเรา? รอประเดี๋ยว ท่านคือ…ศิษย์พี่หลิ่วหมิง!” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่มองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียดทีหนึ่งแล้วพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง นอบน้อมผิดธรรมดาขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องผู้นี้คือ?”
หลิ่วหมิงไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ตรงหน้าจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าเป็นศิษย์ดำเนินการที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นของสาขาเรา ศิษย์พี่หลิ่วไม่รู้จักก็เป็นเรื่องธรรมดา ยามนั้นที่ศิษย์พี่หลิ่วคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก ข้าก็โชคดีได้เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ไม่อาจเทียบกับศิษย์พี่หลิ่วได้ หลังจากศิษย์พี่หลิ่วเข้าไปเป็นศิษย์สายใน เป็นตัวแทนนิกายเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ทั้งยังคว้าอันดับหนึ่งมาได้จากท่ามกลางผู้แข็งแกร่งมากมาย ตอนนี้ท่านก็กลายเป็นผู้ที่ศิษย์สามพันคนของสาขาห่านฟ้าของเรายกย่อง ใช่แล้ว ไม่ทราบวันนี้ศิษย์พี่หลิ่วเดินทางมามีธุระอันใด หรือว่า…เพื่อเด็กคนนี้?” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดเป็นต่อยหอย อ้าปากพูดปุบคำพูดก็หลั่งไหลเป็นสายน้ำไม่จบไม่สิ้น สักพักถึงเหลือบไปเห็นเด็กชายข้างกายหลิ่วหมิง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าได้ยินว่าเด็กที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณพิเศษ แค่ผ่านการตรวจสอบก็เข้าเป็นศิษย์นิกายสายนอกได้เลยใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยถาม
“ร่างจิตวิญญาณพิเศษหรือ? นั่นแน่นอน จะว่าไปแล้ว สาขาห่านฟ้าของพวกเราก็ไม่ได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาเหล่านั้นมาหลายปีแล้ว ไม่เช่นนั้นศิษย์เหล่านี้ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็พัฒนาก้าวกระโดด สร้างชื่อเสียงโด่งดังในการประลองใหญ่ของนิกายสายนอก เอาชนะแย่งชิงทรัพยากรมากกว่านี้มาให้สาขาเราได้ หรือว่าเด็กคนนี้จะ…” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดยาวเป็นพรวนจนน้ำลายแตกฟองอีกพักหนึ่งถึงนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน สายตาเคลื่อนมายังเด็กชายอายุแปดเก้าปีคนนั้น แล้วมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอันใดตรงๆ แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตบบนหัวไหล่ของเด็กน้อยเยี่ยเฮ่าเบาๆ
พลังจิตวิญญาณเล็กน้อยสายหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในร่างของเยี่ยเฮ่าทันที ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อย รู้สึกว่าความเจ็บชาจู่โจมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็ทอประกายสีทองจางๆ ออกมาเลือนราง
แสงสีทองในดวงตาของเด็กน้อยปรากฏเพียงครู่เดียวก็หายไป ทว่าศิษย์รูปร่างใหญ่โตเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่หลิ่ว หากข้ามองไม่ผิด เด็กชายคนนี้ครอบครองร่างเนตรจิตวิญญาณหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าสถานการณ์เช่นนี้จะให้เขาเข้าสาขาห่านฟ้าโดยตรงได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา