ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 924

เสียง “เปรี๊ยะ” ดังลอยมา!

กำแพงศิลาสองฝั่งโคลงเคลงพักหนึ่งก็เกิดรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังออกมาจากทางเดินด้านหลัง จากนั้นเสียงเศษหินร่วงกระทบพื้นก็ดังระงม

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซากโบราณสถานใต้ดินแห่งนี้จึงคล้ายกับว่ากำลังจะถล่ม

หลิ่วหมิงไม่มีเวลาคิดสิ่งใดมาก เขาไม่พูดพร่ำร่างกายขยับไหววูบพุ่งรวดเร็วไปหาปากทางเดินที่ยังไม่ถล่มเบื้องหน้าทันที

เวลาหนึ่งเค่อหลังจากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็พุ่งเร็วไวออกมาจากรอยแยกของพื้นดินที่ปริแยกออกจากกันเมื่อสักครู่

ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ออกมาจากซากโบราณสถานใต้ดินอันใหญ่โตผิดปกติแห่งนี้กลับมาบนพื้นดินแล้ว เขาวนอยู่บนท้องฟ้ารอบหนึ่งก็แหวกท้องฟ้าจากไปไกลโดยไม่รั้งอยู่ต่อสักนิด

ไม่ถึงชั่วจิบชาครึ่งถ้วยหลังจากหลิ่วหมิงไปจากซากโบราณสถาน เสียงดังสนั่นใต้โบราณสถานก็ดังถี่ขึ้นทุกที แผ่นดินบริเวณใกล้เคียงทยอยปรากฏรอยแยกใหญ่โตเส้นแล้วเส้นเล่าโดยมีบริเวณยอดเขาแห่งนั้นเป็นศูนย์กลาง

หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่งเสียงทึบหนักเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากใต้ดิน ยอดเขาทั้งลูกฉับพลันโงนเงนถล่มลงไป เสียงดังสนั่นเลือนลั่นดังออกมาจากใต้ดินตรงนั้นตรงนี้

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจแผ่นดินรกร้างทั้งแถบก็ยุบลงไปทั้งผืน หน้าตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

หลิ่วหมิงที่อยู่ไกลออกไปตรงขอบฟ้าได้ยินเสียงดังเลือนลั่นมาจากด้านหลังก็อดไม่ได้หันศีรษะกลับไปมอง ในดวงตาเขาฉายแววเสียดายจางๆ อย่างอดไม่ได้ ทว่าครู่ต่อมาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาที่มือแล้วกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปไกลด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

เขาหยุดอยู่ที่ซากโบราณสถานแห่งนี้เป็นเวลานานเช่นนี้ คิดว่าพวกจินเทียนชื่อคงจะไม่รออยู่ที่สถานที่รวมตัวเดิมต่อแน่นอน เขาคงได้แต่ออกเดินทางตามลำพังบ้างแล้ว

ยังดีที่ในมือเขามีแผนที่ซึ่งนิกายแจกจ่ายให้ บนนั้นทำเครื่องหมายสถานที่ซ่อนสมบัติและซากโบราณสถานแห่งอื่นซึ่งคนรุ่นก่อนสำรวจพบไว้อยู่ น่าจะยังมีโอกาสรวมตัวกับพวกจินเทียนชื่อได้

หลังจากหลิ่วหมิงแยกแยะทิศชั่วครู่ก็นึกย้อนถึงแผนที่ครู่หนึ่ง แล้วเลี้ยวเปลี่ยนทิศพุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่งทันที

ในเวลาเดียวกันนี้เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจรวมทั้งมนุษย์ปีศาจและพวกต่างเผ่าที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งจากแผ่นดินต่างๆ ซึ่งเข้ามายังเศษซากของโลกบนในที่สุดก็พานพบกันบ่อยครั้งขึ้น พวกเขาต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมเหนือจินตนาการ

ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นใด ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ มนุษย์ปีศาจหรือพวกต่างเผ่า พวกเขาต่างก็สั่งสมความเคียดแค้นที่ไม่อาจดับได้จากอดีตหลายแสนปีก่อนหน้ามา วันนี้ได้พานพบย่อมต่อสู้กันดุเดือดไม่เลิกรา

ณ กองหินระเกะระกะทอดยาวหมื่นลี้ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นแห่งหนึ่งบนเศษซากแห่งโลกบน

ที่แห่งนี้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเบาบางอย่างที่สุดจนยากจะหาร่องรอยหญ้าจิตวิญญาณสมบัติล้ำค่าอันใดพบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจอสูรระดับสูงในซากโบราณสถานอันใด

เวลานี้ตรงจุดหนึ่งที่ห่างจากพื้นดินสูงขึ้นไปห้าถึงหกจั้งบนท้องฟ้าฉับพลันก็เกิดคลื่นสั่นไหวกลางอากาศ แสงจิตวิญญาณส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่งเงาร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏออกมาอย่างเชื่องช้า

บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เส้นผมหยิกสีม่วงแวววาวทั้งศีรษะ จมูกราชสีห์ปากกว้าง สองตามีประกายสีม่วงไหลวนไม่หยุดอยู่เลือนราง

สตรีนางนั้นเรือนผมสั้นสีเงิน ดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างเปล่งประกายดั่งหยก มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เสมอ

ทั้งสองคนก็คือหลี่ว์เหมิงกับอิ๋นเซ่อแห่งหอเป๋ยโต่วนั่นเอง

“พวกเราล่อมังกรดำตัวนั้นมาได้รอบใหญ่ เวลานี้ศิษย์น้องเยี่ยนน่าจะเดินทางไปไกลแล้วกระมัง” หลี่ว์เหมิงเหล่ตามองด้านหลังครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

“แม้ศิษย์น้องเยี่ยนจะระดับผลึกขั้นปลายเท่านั้น แต่พลังก็ไม่ด้อยกว่าเจ้าและข้าสักนิด ให้เขานำสมบัติไปหาพวกศิษย์พี่น่าจะไม่มีปัญหา” ในดวงเนตรงามของอิ๋นเซ่อมีประกายเจิดจ้าไหลวนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ

“เหอะ ก็แค่เผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ตนหนึ่งเท่านั้น เจ้ากับข้าแล้วก็ศิษย์น้องเยี่ยนสามคนร่วมมือกันจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไร? แก่นปีศาจของมังกรดำระดับแก่นแท้นั่นเป็นสมบัติอันหาค่าไม่ได้ หากเรื่องที่พ่ายแพ้หนีอย่างน่าสมเพชเช่นนี้เล่าลือออกไป หลังจากนี้พวกเราจะมีที่ยืนอะไรในหอเป๋ยโต่วได้อีก” หลี่ว์เหมิงเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าดูแคลน

“ในเมื่อสมบัติมาอยู่ในมือแล้วไยต้องต่อสู้อย่างไร้ความหมายอีกเล่า นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจที่เดินทางมาจากแผ่นดินหมานฮวงเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็สายเลือดบริสุทธิ์ พลังแข็งแกร่งกว่าศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์ไม่น้อย แม้พวกเราสามคนร่วมมือกันก็คงเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ ไยต้องสิ้นเปลืองเวลากับเรื่องนี้ อย่าลืมว่าเจ้ากับข้ายังมีภารกิจอื่น เจ็ดวันหลังจากนี้พวกเรายังต้องไปรวมตัวกับคนอื่นอีก”

อิ๋นเซ่อเอ่ยเสียงเรียบหลายประโยค จากนั้นเคล็ดวิชาที่มือก็เปลี่ยนไป เมฆสีขาวก้อนหนึ่งยกนางลอยขึ้นกลายเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งเหาะไปไกล

หลังจากหลี่ว์เหมิงพึมพำหลายประโยคอยู่ที่เดิมก็ลอยขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งไล่ตามติดไปอย่างไม่ใคร่จะยินยอม

ทั้งสองคนจากไปเพียงครู่เดียว กลางกองหินระเกะระกะใกล้ๆ ก็พลันมีปราณสีดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เศษหินก้อนแล้วก้อนเล่าพากันระเบิดพุ่งกระจัดกระจายไปรอบด้าน

ท่ามกลางหมอกดำพลุ่งพล่านคือบุรุษต่างเผ่าผู้มีเกล็ดสีดำแผ่อยู่เต็มทั่วร่างและบนศีรษะมีเขาประหลาดอยู่คู่หนึ่ง

“ได้ยินมานานแล้วว่าเผ่ามนุษย์มีองค์กรลึกลับแห่งหนึ่งนามว่าหอเป๋ยโต่ว วันนี้ดูแล้วก็แค่เท่านี้! ข้าใช้เล่ห์กลเล็กน้อยก็ทำให้เจ้าหนูเหล่านี้ติดกับได้แล้ว หากไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าตามหาสถานที่แห่งนั้นแทนข้า ข้าคงฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ นานแล้ว” บุรุษเผ่าปีศาจพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งจากนั้นรอบร่างพลันฉายแสงสีดำกลายเป็นมังกรสีดำยาวยี่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

ณ ถ้ำภูเขามืดสนิทขนาดสามสี่จั้งใต้หน้าผาสูงชันเรียบลื่นสีเทาแห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกฝนที่สวมเครื่องแต่งกายของสำนักเฮ่าหรานเจ็ดแปดคนกำลังนั่งอยู่กับพื้นหลับตาโคจรปราณอยู่ด้านในถ้ำ พวกเขาต่างมีสีหน้าเหนื่อยล้า

“ศิษย์พี่เหยียน พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี คัมภีร์ทองคำเพลิงโลหะนี่จะตกอยู่ในมือเผ่าปีศาจที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด!” ผู้ที่เอ่ยคือสตรีที่แลดูสง่างามอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา