หยวนเจิ้งเฟิงนำชุดคลุมนภาติดกายออกจากสำนัก เยี่ยนตี๋และสือเถี่ยต่างก็เข้าร่วมในการต่อสู้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเรื่องต่างๆ ของเขากว่างเฉิงจึงต้องให้ฟางจุ่นจัดการแทน
ในฐานะที่เป็นผู้เข้าร่วมคนสำคัญในสงครามถังตะวันออก เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอกลับสำนัก จึงต้องมาพบกับฟางจุ่นเป็นธรรมดา
ฟางจุ่นกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ครั้งนี้เสี่ยงอันตรายอยู่นะ แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่ไปถังตะวันออกก่อนจะไม่เป็นไปตามแผนของฝ่ายตรงข้าม แต่การต่อสู้ในระดับนี้ก็อาจส่งผลกระทบถึงตัวเจ้า”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ที่ท่านอาจารย์ลุงรองกล่าวมาก็ถูกขอรับ ตอนนี้ข้ากลับมาคิดดูก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เลย แต่ก็นับว่าคุ้มค่า เพียงแต่เสียดายที่ไม่สามารถนำมาตรสุริยันวัดสวรรค์มาได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางจุ่นพลันโบกไม้โบกมือ “นั่นเป็นรูปการณ์ที่ดีที่สุดที่เราคาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ดีมากแล้ว พวกเราจะลงมือต้องเด็ดขาด แต่ก็อย่าประเมินปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายต่ำจนเกินไปเช่นกัน”
“ถึงหวงซวี่จะไม่ใช่หวงกวงเลี่ย แต่ก็ไม่คนที่จะดูถูกได้”
ขณะที่สนทนากับเยี่ยนจ้าวเกอ น้ำเสียงของฟางจุ่นอ่อนโยนมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการอบรมสั่งสอนจากผู้อาวุโส ทว่าก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกใช้อำนาจที่สูงกว่ามากดดันกันแต่อย่างใด
สำหรับบรรยากาศของการสนทนา การพูดคุยของเยี่ยนจ้าวเกอกับเขาดูไปแล้วคล้ายกับจะผ่อนคลายกว่าตอนที่พูดคุยกับสือเถี่ยเสียอีก
“ท่านอาจารย์ลุงรองกล่าวถูกต้องขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม
ฟางจุ่นกล่าวว่า “ปัญหาของเหยียนซวี่ข้ารู้แล้ว เรื่องของตระกูลเยี่ยนในตอนนั้น ข้าก็รู้เสียใจยิ่งเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ลุงรองกล่าวเกินไปแล้วขอรับ เหยียนซวี่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของข้า ถือว่าข้าได้ล้างแค้นแล้ว หลังจากที่ท่านพ่อทราบเรื่องราวก็ปล่อยว่างแล้วเช่นกัน”
“ส่วนเรื่องร่องรอยของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง และแหวนวงนั้นของเยี่ยจิ่ง อดีตศิษย์ในสำนัก รอให้ท่านอาจารย์กลับสำนักก่อนค่อยตัดสินอีกครั้ง จ้าวเกอกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” ฟางจุ่นกล่าว
ขายหนุ่มคำนับครั้งหนึ่ง “เช่นนั้นข้าขอลา ท่านอาจารย์ลุงรองไม่ต้องส่งข้าหรอกขอรับ”
ครั้นออกมาจากตำหนักปฏิบัติกิจ เยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนหายใจยาวๆ
เมื่อผู้คนเอ่ยถึงสามวีรบุรุษแห่งเขากว่างเฉิง คนแรกที่มักจะนึกถึงก็คือเยี่ยนตี๋ ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์และพลังความสามารถอันแข็งแกร่งมากที่สุด
ทว่าแท้จริงแล้วก่อนที่เยี่ยนตี๋จะถือกำเนิดขึ้น ในรุ่นของพวกเขา คนรุ่นใหม่ของเขากว่างเฉิงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือฟางจุ่นซึ่งดูเงียบและอ่อนโยน ที่บัดนี้กำลังนั่งประทับตราเอกสารอยู่ในตำหนักปฏิบัติกิจคนนี้
ชื่อมังกรซ่อนเงื่อน ได้อธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว
คนของสำนักศักดิ์สุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นคู่ปรับของฟางจุ่น และมีฝีมืออันสูสีกันมาโดยตลอดในสมัยก่อน นั่นก็คือหวงซวี่ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบัน
แม้ทุกวันนี้หวงซวี่จะรับตำแหน่งผู้นำสำนักรุ่นใหม่มาจากหวงกวงเลี่ยแล้ว ทว่าก็มีน้อยคนที่จะคิดว่าฟางจุ่นด้อยความสามารถกว่าเขา
เยี่ยนจ้าวเกอเดินอยู่ในทางเล็กๆ ที่ใช้ขึ้นลงภูเขา สมองของเขามีเรื่องราวต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย “จริงสิ บัดนี้ศิษย์น้องเฟิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เขาเอ่ยถาม
อาหู่ซึ่งอยู่ข้างๆ พลันยิ้มซื่อ “หลังจากเมื่อครู่ที่คุณชายเข้าไปในตำหนักปฏิบัติกิจแล้ว ข้าก็ไปถามข่าวคราวมาแล้วขอรับ แม่นางเฟิงเข้าเป็นศิษย์สำนักและเริ่มฝึกฝนแล้ว ครึ่งปีมานี้ก็คอยรักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้า ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนเปลี่ยนรากฐานวิชาวรยุทธ์ของตนขอรับ”
“อย่างไรเสียบัดนี้นางก็เป็นศิษย์ของเขากว่างเฉิงแล้ว เพื่อความสะดวกราบรื่นในอนาคต คงไม่ดีนักถ้าหากจะฝึกฝนวิชาวรยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ตอนนี้สละเวลามากอีกหน่อยเริ่มสร้างรากฐานขึ้นใหม่อีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ”
“ท่านเจ้าสำนักเข้ามาจัดการเรื่องของนางด้วยตนเอง อีกทั้งใช้ศิลาเปลี่ยนทะเลที่ทางสำนักเก็บเอาไว้ ช่วยนางสร้างตันเถียนชี่ไห่ขึ้นมาอีกครั้ง”
อาหู่เกาศีรษะ “ได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บค่อยๆ หายดีเกือบทั้งหมดแล้ว การสร้างรากฐานใหม่ก็สำเร็จแล้วเช่นกัน สำนักได้จัดให้นางไปอยู่ตำหนักถ้ำที่อยู่เขาด้านหลัง ส่วนเรื่องอื่นๆ รอคุณชายกลับมาค่อยว่ากันอีกครั้งขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ไปถึงแล้วดูกันสักหน่อย หากสภาพของนางครบตามเงื่อนไข เช่นนั้นเรื่องที่จะช่วยนางฟื้นฟูจันทรากายก็ต้องรีบกำหนดวันเวลา”
ขณะที่เดินไป เยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “สายน้ำไม่ค่อยท่า กาลเวลาไม่เคยคอยผู้ใด คู่ปรับของนางไม่มีทางที่จะย่ำเท้ารอนางอยู่กับที่ นางล่าช้าไปเป็นเวลาสองปีแล้ว”
เมื่อมาถึงด้านหลังภูเขาเข้าใกล้กับสถานที่ที่เฟิงอวิ๋นเซิงพักอยู่ ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุกวูบเล็กน้อย
บริเวณข้างทางก็มีหญิงวัยกลางผู้หนึ่งเดินออกมา ซึ่งก็คือผู้อาวุโสปฏิบัติกิจท่านหนึ่งของเขากว่างเฉิง
“ต่อให้ไม่คำนึงถึงปัญหาเรื่องสตรีจันทรา นางก็เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ มากความสามารถคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะทำให้เซียวเซิงเป็นหมัน หรือต่อให้นางหักขาเซียวเซิงไปข้างหนึ่ง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อาจจะยังมีคนปกป้องนาง”
เมื่อเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงหยุดเคลื่อนไหวลงในที่สุด แล้วกระโดดออกจากใต้น้ำตก เยี่ยนจ้าวเกอก็เตรียมที่จะก้าวออกไป “ดูจากลักษณะของนางแล้ว คงจะเตรียมตัวพร้อมแล้วจริงๆ”
ขณะกำลังจะก้าวขาออกไป เยี่ยนจ้าวเกอก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาเห็นว่าเฟิงอวิ๋นเซิงสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวัง ราวกับต้องการยืนยันว่ารอบข้างไม่มีคน
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ บนใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายขึ้น แล้วเดินเข้าไปในป่าทึบข้างน้ำตก
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว “โอ้ มีเรื่องที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นอย่างนั้นหรือ หากมีจริงๆ แล้วละก็ ท่านผู้อาวุโสของสำนักที่คอยจับตามองอยู่ที่แห่งนี้น่าจะรู้ตัว”
เมื่อเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอจึงตามนางไป อาหู่เองก็เร่งตามไปติดๆ
และเมื่อเข้าไปในป่า เขาพบว่าเฟิงอวิ๋นเซิงคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพ สุนัขดำตัวน้อยชื่อว่าโร่วโร่วที่นางเลี้ยงเอาไว้ตัวนั้นนั่งกระดิกหางอยู่ข้างๆ
กองไฟกองเล็กๆ ถูกเฟิงอวิ๋นเซิงจุดขึ้น บนกองไฟมีไม้ที่ขึ้นเป็นโครง บนโครงนั้นมีของสิ่งหนึ่งเสียบเป็นพวง กำลังปิ้งย่างกัน
เฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้กลับคืนสู่ท่าทางห้าวหาญเฉกเช่นปกติ มองไปแล้วเหมือนกับแมวที่ขโมยปลามาได้หนึ่งตัวอย่างไรอย่างนั้น นางเข้าไปใกล้โครงนั้น แล้วใช้จมูกดมกลิ่นดู บนใบหน้าแสดงถึงความสุขเต็มเปี่ยม
นางกล่าวอย่างชื่นชมว่า “คนบนโลกต่างก็รู้ดีว่าปลากรงเล็บพยัคฆ์มีพิษร้ายแรง แต่กลับไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้รสเลิศถึงเพียงไหน!”
เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ที่ได้ยินจากที่ที่ไกลออกไป ต่างก็อดมองหน้ากันไม่ได้
…ปลากรงเล็บพยัคฆ์ไม่เพียงแต่เป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงสำหรับคนปกติเท่านั้น แต่มันถึงขั้นฆ่าจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ได้อีกด้วย!
มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นนักกินเหมือนกันหรอกหรือนี่!”
………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี