ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 133

สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอดูสัตย์ซื่อ ทว่ากลับทำให้บรรดาคนของเขาไร้พรมแดนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว

อยากจะขอร้องให้ตำหนักอัสนีสวรรค์ยกหยกหิ่งห้อยสายฟ้าให้โดยสมัครใจ นั่นช่างยากเย็นยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก นอกเสียจากว่าจะนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งไปแลก เช่นนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ก็คงจะยินดี

ปัญหาคือ เขาไร้พรมแดนจะเต็มใจทำเช่นนี้หรือไม่

หรือไม่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ผนึกกำลัง ร่วมกันทำลายเขากว่างเฉิงให้รู้แล้วรู้รอดไป จากนั้นค่อยแย่งชิงของล้ำค่ายิ่งของเขากว่างเฉิง ชดใช้ให้กับตำหนักอัสนีสวรรค์

ฉะนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ก็จะมีหนึ่งจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมีหนึ่งจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจากนี้จะเพิ่มเติมด้วยมงกุฎจันทราอีกด้วย

เขากว่างเฉิงดับสูญไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะได้หยกหิ่งห้อยสายฟ้า ทว่าเขาไร้พรมแดนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ชิ้นเดียวที่ป้องกันประตูสำนัก ระยะห่างที่จะพังทลายย่อยยับยังคงห่างไกลอีกแค่ไหนหรือ

ซานสือเวิงและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ล้วนมีอาการปวดศีรษะอยู่บ้าง

“นี่เป็นการบีบบังคับอย่างแท้จริง! ” ผู้อาวุโสจั่วกล่าวด้วยความเกลียดชัง “เจ้ามันก็แค่เด็กที่ดีแต่โอ้อวด เฉลียวฉลาดแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเท่านั้น!”

ซานสือเวิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากไม่ใช่คนที่เจ้าแนะนำก่อเรื่องที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ สำนักเราก็คงไม่ถึงขั้นกับต้องถูกกระทำเช่นนี้หรอก”

ผู้อาวุโสจั่วแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “ต่อให้ไม่มีจ้าวฮ่าว เจ้าเด็กแซ่เยี่ยนนั่นก็คงจะคิดวิธีอื่นแน่ ความเข้าใจที่เขามีต่อสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำห่างไกลจากพวกเรานัก!”

พอกล่าวถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสจั่วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะเขารู้สึกสุดจะทน ทั้งยังอึดอัดอับอายเช่นกัน

จากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า “หลุมพรางนี้เป็นหลุมที่ขุดเอาไว้ให้พวกเรากระโดดลงไปโดยเฉพาะ ท้ายที่สุดก็เป็นการบีบบังคับสำนักเราให้สูญเสียความได้เปรียบที่จะปฏิบัติเองอย่างอิสระ จำเป็นต้องเลือกข้างหนึ่งในสอง!”

ผู้อาวุโสเสวียนสือกล่าวด้วยเสียงคลุมเครือ “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเรากลับไม่อาจไม่ยอมรับการบีบบังคับของเขาได้”

ในดวงตาของผู้อาวุโสจั่วฉายแววความดุร้ายวูบหนึ่ง “ยังไม่แน่นักหรอก! ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกข้างหนึ่งในสอง เลือกยืนอยู่ข้างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียให้รู้แล้วรู้รอด เอาชนะการบีบบังคับของเจ้าเด็กด้อยอาวุโสของเขากว่างเฉิงนี่เสีย! ใช้การช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบของสำนักเรา แลกเปลี่ยนกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นำมงกุฎจันทราส่งให้ตำหนักอัสนีสวรรค์ จากนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ก็จะให้หยกหิ่งห้อยสายฟ้ากับสำนักเรา เพื่อพื้นฟูสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำอย่างดี”

“เมื่อทำลายเขากว่างเฉิงแล้ว จะได้รับสิ่งของมากน้อยเพียงใด ทุกคนก็จงอาศัยความสามารถของตน ส่วนเมื่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นอีกก้าว หอคลื่นโหมก็คงจะนั่งไม่ติดที่ ถึงแม้หอคลื่นโหมนี้จะไม่สนเรื่องภายนอก แต่ก็จะไม่ยินดีที่จะเห็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สามารถครองโลกแปดพิภพได้จริงๆ”

ผู้อาวุโสจั่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ถึงเวลานั้นพวกเราร่วมกับหอคลื่นโหมและเมืองทะเลมรกต ทั้งสามสำนักผนึกกำลังกัน ก็สามารถควบคุมถ่วงดุลอำนาจสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ได้อีกครั้ง”

ซานสือเวิงถอนใจ “ความเป็นไปได้ของสิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้น เป็นอคติจนเกินไปนัก อย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบ ที่เจ้ากล่าวว่าทั้งสามสำนักผนึกกำลังกัน ควบคุมถ่วงดุลอำนาจสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ใหม่อีกครั้ง เงื่อนไขแรกคือพลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายเทียบกันแล้วต้องไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่า แต่ถ้าหากหวงกวงเลี่ยออกฌานอย่างสมบูรณ์ เป็นไปได้เกินกว่าครึ่งว่าเขาจะต้องรุดหน้าขึ้นอีกก้าวหนึ่งเป็นแน่ หากเจ้าสำนักของสำนักเราไม่สามารถเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ละก็ เช่นนั้นย่อมยากจะเกินต้านทานไหว ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรกับเขากว่างเฉิงหรือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่มุ่งแสวงหาก็คือการถือกำเนิดเขาไร้พรมแดนของเรา”

เขามองผู้อาวุโสจั่ว “ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจ ร่วมมือกันกับเขากว่างเฉิงดำเนินการควบคุมกดดันถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หากช่วยเหลือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ง่ายยิ่งนักที่ท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายจะมีพลังแข็งแกร่ง ควบคุมไปทั่วหล้า ทั้งหมดทั้งมวลควรเห็นแก่ผลประโยชน์ของสำนักเป็นสำคัญ”

ผู้อาวุโสจั่วและผู้อาวุโสเสวียนสือนิ่งเงียบอย่างสิ้นเชิง

เหตุผลพวกเขาก็เข้าใจดี ทว่าถูกเยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นผู้น้อยทำให้อับอายเช่นนี้ ทำให้พวกเขาอึดอัดใจอย่างยิ่ง

ซานสือเวิงส่ายศีรษะ “ยิ่งไปกว่านั้น การผนึกกำลังกับกว่างเฉิง ร่วมกันต่อต้านสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเหล่านี้ภายในสำนักก็ตัดสินชี้ขาดไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ต่างอยู่แค่ที่ว่าจะร่วมมืออย่างไร ต่อต้านอย่างไร ดูจากตอนนี้แล้ว การจะนั่งบนภูเขาดูเสือกัดกัน[1] จ้องหาโอกาสอย่างเงียบๆ นั้นไม่ได้แล้ว”

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสเสวียนสือก็เผยรอยยิ้มขมขื่น “เขาหิ่งห้อยสายฟ้าที่ตำหนักอัสนีสวรรค์ผลิตหยกหิ่งห้อยสายฟ้า ก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเรานัก”

หยกหิ่งห้อยสายฟ้ามีความสำคัญมากต่อตำหนักอัสนีสวรรค์ ทางตำหนักย่อมต้องเตรียมป้องกันหากมีศัตรูจู่โจมทำลายสายแร่อย่างกะทันหัน

ถึงกระนั้นลองพูดในทางกลับกัน หากสักวันมีคนกระทำเช่นนั้น นั่นจะเป็นความแค้นอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ จึงจะไม่กระทำเช่นนั้นง่ายๆ

การเตรียมป้องกันของตำหนักอัสนีสวรรค์ ส่วนใหญ่ก็เป็นการเตรียมป้องกันเขากว่างเฉิงและเมืองทะเลมรกต ส่วนการป้องกันเขาไร้พรมแดนออกจะต่ำกว่าอยู่บ้าง

ซานสือเวิงกล่าวว่า “รายงานกลับไปยังสำนัก ร้องขอให้ท่านเจ้าสำนักตัดสินครั้งสุดท้ายเถอะ”

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาไร้พรมแดนจะวางแผนจัดการสำหรับสถานการณ์แต่ละรูปแบบที่อาจจะประสบพบเจอไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้รวมถึงการเปิดศึกกับตำหนักอัสนีสวรรค์โดยตรง

หากไม่มีกำลังอื่นๆ จากภายนอกเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือแตะต้องหยกพลังหิ่งห้อยสายฟ้า ระดับความรุนแรงต่ำที่สุดของศึกครั้งนี้ระหว่างทั้งสอง คงไม่ต่ำไปกว่าศึกใหญ่ระหว่างเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจบลงไป

แม้กระทั่งการปะทุสงครามเต็มรูปแบบเกิดขึ้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เรื่องใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ซานสือเวิงและอีกสองคนจะสามารถตัดสินใจได้อีกต่อไปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี