พอได้ยินคำ ‘ยุคคนหนุ่มสาว’ เฉินเสวียนจงที่อยู่ด้านข้างอดยิ้มขึ้นไม่ได้
เยว่เจิ้นเป่ยซึ่งที่แล้วมาเอาจริงเอาจังบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเช่นกัน
เยี่ยนตี๋ยิ้ม มองเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง
ทั่วทั้งเข้ากว่างเฉิงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด ไม่มีทางยึดถือเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นศิษย์รุ่นหลัง หรือคนโดดเด่นที่มาทีหลัง
กระนั้นพวกเขาสองคนล้วนไม่รับควบคุมสำนักต่อ
คนหนึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นความสามารถด้านนี้ อีกคนไม่ได้สนใจเรื่องนี้
ดังนั้นในตอนพิจารณาถึงผู้สืบทอดจ้าวสำนัก ย่อมตัดพวกเขาทิ้งโดยอัตโนมัติ
โชคดีที่ตอนนี้ลูกศิษย์รุ่นฃหนุ่มสาวของเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ เริ่มเติบโตขึ้น เยี่ยนตี๋ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่มีผู้สืบทอดต่อ
พวกหยวนเจิ้งเฟิง ฟางจุ่น ฟู่เอินซูต่างฝึกฝน ค้นคว้าความลี้ลับในหลักวรยุทธ์ได้อย่างสบายใจ
จอมยุทธ์ที่เดินถึงระดับหนึ่งได้ ต่างยินดีค้นคว้าศึกษาวรยุทธ์ของตัวเอง
แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ ตำแหน่งของเขากว่างเฉิงในฟ้าเหนือฟ้า และในกลุ่มผู้สืบทอดสำนักเต๋าทั้งหมดหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ไม่อาจเทียบกับอดีตได้อีกแล้ว
คนหนุ่มสาวคิดแบกรับธงใหญ่จากมือของเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ จำเป็นต้องสั่งสมมากกว่านี้
กระนั้นการจัดการและการปฏิบัติภารกิจประจำวันในสำนัก แม้เยี่ยนตี๋จะวางมือไม่สนใจ ก็ไม่มีอุปสรรคใด
ความจริงแล้ว ในสถานการณ์ที่ฟางจุ่นถอยไปอยู่หลังม่าน ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์ การทำเงินงานและการจัดการภารกิจส่วนใหญ่ในเขากว่างเฉิง ล้วนเป็นสวีเฟยที่เป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารปฏิบัติกิจรับช่วงต่อ ทั้งจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
หลังจากเปลี่ยนสวีเฟยมารับตำแหน่ง ตำแหน่งผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญาก็ว่างลง ใครจะเป็นคนรับช่วงต่อ ตอนนี้ยังอยู่ในการพิจารณา
เทียบกันแล้ว เซี่ยกวงมีโอกาสมากที่สุด
เขาที่เกลียดชังความชั่วดุจศัตรูคู่แค้นมีนิสัยดุร้ายตรงไปตรงมา หลายปีมานี้เริ่มควบคุมอารมณ์ได้ ไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
หลังจากที่เขากว่างเฉิงยึดครองเขตชางเทียนตะวันออกบนโลกซ้อนโลก เผชิญหน้ากับผากิเลนแห่งเขาคุนหลุนโดยมีความมั่นใจมากพอ เซี่ยกวงได้ทำลายเขาสามขาจนพินาศด้วยตัวเอง แก้แค้นให้แก่ครอบครัว
ความเคียดแค้นและเพลิงโทสะดับลง หลังจากผ่านการขัดเกลามากมาย ปัจจุบันการรับมือคนกับเรื่องราวของเซี่ยกวงไม่ได้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
กระนั้นเขาในปัจจุบันยังคงเลือดร้อน ดังนั้นจะรับหน้าที่ผุ้อาวุโสระดับหนึ่งในวิหารหนึ่งได้หรือไม่ ตอนนี้เยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง และฟางจุ่นกำลังพิจารณาอยู่
แต่กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันทุกสิ่งบนเขากว่างเฉิงได้เดินไปบนครรลองที่ถูกต้องแล้ว ขอแค่พัฒนาไปตามปกติก็พอ
สภาวะที่ค่อยๆ สั่งสมเริ่มแสดงให้เห็น แค่ต้องใช้เวลาตกผลึกเท่านั้น
“หวังว่าจะเจอสหายร่วมเส้นทางเจี่ยและสหายร่วมเส้นทางฉู่ รวมถึงหาวิธีการกำจัดภัยแฝงเร้นจากภัยพิบัติมารบนร่างของจวินเอ๋อร์สองแม่ลูกในการเดินทางนี้” เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงปั้นสีหน้าจริงจังเช่นกัน
เฉินเสวียนจงพยักหน้า “หลังเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางเถอะ”
ทุกคนต่างคำนับซึ่งกันและกัน บอกลากันเท่านี้
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ไปพบเสวี่ยชูฉิงด้วยกัน สองพ่อลูกล้วนออกเดินทาง ทำให้เสวี่ยชูฉิงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
ในตอนนั้นเพราะสถานการณ์บังคับ นางไม่อาจไม่แยกจากสามีและบุตร จากลาครั้งหนึ่งกินเวลาหลายสิบปี
ปัจจุบันในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาอันงดงามสมบูรณ์ถึงยี่สิบปีเต็ม
ก่อนหน้านี้แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะออกเดินทาง แต่ยังดีที่สามีคอยอยู่เคียงข้าง
ตอนนี้แม้ว่าตนจะรั้งอยู่ในฟ้าเหนือฟ้าที่ปลอดภัย แต่กลับต้องลาจากกันอีกครั้ง เหลือแค่นางคนเดียว
หากบอกว่าไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย นั่นเป็นการหลอกตนเองและคนอื่นแล้ว
ต่อให้ในอดีตจะผ่านวันเวลาที่ต้องเร่ร่อนอันยากลำบากจนเคยชิน ทว่าวันนี้ในฐานะภรรยาและมารดา สุดท้ายก็ยังหวังจะได้ลงหลักปักฐานและอยู่ด้วยกัน
ทว่าที่แล้วมาเสวี่ยชูฉิงไม่ใช่คนธรรมดา ไม่กล่าวอะไรมาก เพียงกำชับให้สามีและบุตรชายระวังตัว
“ข้าจะดูแลรักษาค่ายกลในตำหนักโอสถเอง หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย ต้องไม่เป็นไรแน่” เสวี่ยชูฉิงกล่าว “กลับเป็นพวกท่านออกไปด้านนอก ระวังตัวให้มากไว้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี