“มีข่าวส่งมาจากทางด้านโถงเซียนว่า ผู้สืบทอดของสามพิสุทธิ์สายหลักอาจจะมาเพื่อวารีสามแสง เป็นพวกโยมกระมัง?” นักบวชฮุ่ยอั้นถาม
เกาหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสถึงกับทราบชื่อของข้าผู้แซ่เกา ช่างโชคดีจริงๆ”
“คนรุ่นใหม่มาแทนคนรุ่นเก่า โยมใยต้องถ่อมตนไป?” นักบวชฮุ่ยอั้นยิ้มขึ้น “พวกเราถึงแม้เพิ่งเข้าสู่ทางโลกไม่นาน แต่ไม่ใช่เป็นคนปิดกั้นข่าวสาร จะไม่ได้ยินนามยิ่งใหญ่ของพวกท่านทั้งหลายได้อย่างไร? แต่ละคนต่างเป็นอัจฉิรยะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในสำนักเต๋าตั้งแต่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
“เทียบกับพวกโยมทั้งสี่แล้ว พวกอาตมาแค่อยู่ไปวันๆ เท่านั้น”
นักบวชฮุ่ยอั้นมองน้ำเต้าสีแดงในมือของตัวเอง “อาตมาได้เข้าสู่ศาสนาพุทธ เรื่องราวในอดีตสูญสลายราวควันเมฆ หากเป็นเรื่องทั่วไปยังพอได้ สามารถช่วยเหลือเพราะน้ำใจเก่าก่อน แต่ว่าวารีสามแสงนี้ โถงเซียนต้องการยิ่ง อาตมาเองไม่อาจหักหลังพันธมิตร กลับไม่อาจมอบให้พวกโยมแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือ “พวกเราต้องการวารีสามแสงมากเช่นกัน เช่นนี้ได้แต่ต้องล่วงเกินท่านนักบวชฮุ่ยอั้นแล้ว เพียงแต่หวังว่าการแย่งชิงชั่วขณะจะไม่ส่งผลต่อความปรองดองในอนาคต”
“โยมผู้นี้กลับน่าสนใจยิ่ง อยู่ในระดับพลังฝึกปรือของเซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ว กลับกล่าววาจาเขื่องโข ถึงอาตมาจะเคยได้ยินชื่อของโยมมา แต่ชื่อเสียงจะสมคำร่ำลือหรือไม่ ยังต้องลองดูก่อนถึงจะทราบ” นักบวชฮุ่ยอั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ส่วนจะล่วงเกินหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกโยมมีความสามารถขนาดไหน”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวต้องขอให้ท่านนักบวชฮุ่ยอั้นชี้แนะด้วย”
หลี่ซิ่งป้ากล่าวอย่างเคียดแค้น “ลงมือเลยเถอะ ใยต้องกล่าวมากความ!”
เสียงยังไม่ทันขาด เขาก็โบกมือวูบหนึ่ง ลำแสงสีเหลืองเข้มสายหนึ่งพุ่งออกไป ฉีกอากาศเป็นรอยแตกนับไม่ถ้วน กระแทกใส่ศีรษะของนักบวชฮุ่ยอั้น
“วารีสามแสงของอาตมานี้มีปริมาณจำกัด ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ คงถูกเหล่าผู้อาวุโสนำไปปราบเผิงท่องเมฆหมื่นลี้แต่แรก” นักบวชฮุ่ยอั้นดึงฝาน้ำเต้าออก “แต่เอามารับมือกับพวกโยมได้อย่างเหลือเฟือ”
“จะว่าไป ต่อให้พวกโยมสามารถแย่งไปได้ จะพอให้พวกโยมแบ่งกันได้หรือไม่ ยังไม่แน่นัก”
ในเสียงหัวเราะของท่าน เห็นสายน้ำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในน้ำเต้าสีแดง ส่องแสงสีเขียว เหลือง ขาว พริบตาเดียวก็กระจายไปทั่วบริเวณราวกับม่านน้ำ
มุกผ่าดินของหลี่ซิ่งป้าฟันใส่ม่านน้ำนั้น ม่านน้ำพลันสั่นไหวระลอกหนึ่ง
ม่านน้ำที่รวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ วินาทีนี้เหมือนกับกระจายกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน หยดน้ำทั้งหมดกำลังสั่นไหว
ทว่าพริบตาต่อมา หยดน้ำก็หยุดนิ่งลง รวมตัวกันกลายเป็นม่านน้ำที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงในนี้มีความเร็วมากเกินไป ดังนั้นหลี่ซิ่งป้าจึงไม่อาจใช้ร่องแยกมิติเพื่อเคลื่อนไหวก้าวที่สองได้
ตรงกันข้ามเป็นมุกผ่าดินของตัวเขาถูกม่านน้ำยึดเอาไว้ ติดอยู่ด้านบนไม่หล่นลงมา
แม้มุกสีเหลืองเข้มจะกำลังสั่นไหวไม่หยุด แต่ก็ถูกลดทอนกำลังในสายน้ำ ยากจะแสดงความสามารถ
“โยมผู้นี้นับว่าดวงดีนัก หลังลงจากทำเนียบสถาปนาเทพก็ไม่ได้เข้ากับโถงเซียน ไม่ได้เข้ากับปีศาจร้ายบัวขาว ถึงกับอยู่รอดมาจนถึงบัดนี้” นักบวชฮุ่ยอั้นมองหลี่ซิ่งป้าพลางกล่าว “ไม่ทะนุถนอมโอกาสที่ยากจะได้มา กลับต้องการมาตายด้วยกระบี่ของอาตมาอีกครั้ง ออกจะโง่เง่าไปกระมัง?”
หลี่ซิ่งป้าหน้าแดงจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำ “มารผจญ วันนี้ข้าจะต้องชำระแค้นในอดีตให้ได้!”
“โยมโง่เขลาจริงๆ” นักบวชฮุ่ยอั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครั้งกระโน้นโยมรับประทานกระบี่ของอาตมา ถ้าไม่ใช่เพราะได้ขึ้นทำเนียบสถาปนาเทพ วิญญาณคงสูญสลายไปแต่แรก ต่อให้ยังรอดอยู่ ในสถานการณ์ที่พลังชีวิตได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ก็ไม่อาจฝึกฝนบนทำเนียบสถาปนาเทพ แต่ว่าการไหลของเวลามีความผิดปกติ ทำให้โยมมีอายุขัยเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
“อุตส่าห์ลงจากทำเนียบมาได้ วันนี้สมควรพักรักษาพลังชีวิตถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางรุดหน้าได้ตลอดกาล เกรงว่าอีกไม่นานฝุ่นกลับสู่ฝุ่นดินกลับสู่ดินตั้งนานกระมัง?”
“โยมคิดแก้แค้นอาตมา แต่อาศัยขีดความสามารถพลังฝึกปรือในตอนนี้ของโยม ไม่ใช่เอาคอส่งมาถึงกระบี่อาตมาอีกรอบหรอกหรือ?” นักบวชฮุ่ยอั้นทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งยกมือตั้งกระบองเหล็ก กระแทกเหล็กท่อนมีเหลี่ยมของหลี่ซิ่งป้าให้เบนออกไปอีกทาง
หลี่ซิ่งป้ากล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “มารผจญหยุดเล่นลิ้นได้แล้ว ข้าได้ขึ้นทำเนียบสถาปนาเซียนเพราะภัยพิบัติที่เจ้าส่งให้ ต้องเสียเวลามากมายโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าสักเท่าไร? ตั้งแต่ยุคโบราณตอนต้นถึงบุคโบราณตอนกลางถึงยุคปัจจุบัน ก็ยังคงอยู่ในระดับเซียนกำเนิดสุญญตาเท่านั้น!”
“แต่อาตมายังคงมีโอกาสได้ตรัสรู้ หรือได้ขึ้นสู่มหาชาล ไม่ว่าความหวังจะมีมากหรือน้อย” นักบวนฮุ่ยอั้นไม่ได้โมโหเพราะคำพูดของหลี่ซิ่งป้า กล่าวอย่างสงบนิ่ง “แล้วโยมยังมีโอกาสหรือ? เกรงว่าตัวโยมก็ไม่มีความเชื่อมั่นกระมัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี