พอเห็นท่าทางของสือจวิน เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยก็มองหน้ากัน
“จวินเอ๋อร์ ที่กษัตริย์ดาราใช้อาคมผนึกมารได้อย่างราบรื่น เป็นเพราะว่าตัวเขามีระดับขีดความสามารถแข็งแกร่งอยู่แล้ว นอกจากนี้มารที่เขาต้องสู้ด้วยมีแค่มารน้ำกุ่ยตัวเดียว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างจริงจัง “ส่วนเจ้ากับมารดาของเจ้าต้องเผชิญกับมารสองตน ต่อให้เจ้าคิดใช้อาคมผนึกมารเสียสละตัวเองช่วยมารดา ผลลัพธ์ก็ไม่น่าดูนักหรอก”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ “อาคมผนึกมารข้าจะถ่ายทอดแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในห้วงเวลาสุดท้าย จะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น กลับไม่ใช่ต้องการให้เจ้าคิดสละชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่ม”
สือจวินถูกจี้ใจดำ ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“เจ้าจงทราบว่าการไม่กลัวตายกับการหาที่ตายแต่แรกเป็นคนละเรื่องกัน” เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา “สภาพจิตใจของอย่างหลังตกต่ำเกินไป ไม่ส่งผลดีต่อการสู้กับมาร กลับอาจะถูกอีกฝ่ายพบช่องโหว่”
สือจวินสีหน้าเปลี่ยนไป สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ปั้นสีหน้าจริงจัง “ขอรับอาจารย์อาเยี่ยน ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถึงมารดินโบ่วจะเป็นฝ่ายนำ พญามารที่ต้องการใช้เจ้าเป็นร่างสถิตสำหรับเกิดใหม่เป็นฝ่ายตาม แต่เจ้าก็มีขีดความสามารถและระดับเหนือกว่ามารดาเจ้ามาก” สวีเฟยเอ่ยขึ้นด้านข้าง “ถึงเวลาอำนาจในการนำยังคงอยู่ที่ตัวเจ้า สงบจิตใจเข้าไว้”
“ขอรับท่านอาจารย์” สือจวินตอบด้วยใบหน้าจริงจัง
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงด้านหน้าโลงศพน้ำแข็ง ก้มมองใบหน้าของสตรีที่หลับใหลอยู่ในโลงศพ ใบหน้าที่ในอดีตอ่อนโยนสงบนิ่ง ยามนี้ภายใต้การส่องสะท้อนจะประกายแสงสีเหลืองอันน่ากลัว ถึงกับดูน่าสะพรึงอยู่บ้าง
ภายใต้แสงสาดส่อง ใบหน้าของสตรีเหมือนบิดเบี้ยว ราวกลับกลายเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง ตอนนี้กำลังมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างบูดบึ้ง
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือออกไปกดบนโลงศพน้ำแข็ง ลวดลายอาคมหลายสายขยายออกไปโดยมีฝ่ามือเขาเป็นศูนย์กลาง แล้วกระจายไปทั่วโลงศพในชั่วพริบตา
เขาไม่ได้คลายมือ แต่ยืนอยู่ที่เดิม “ท่านพ่อกับอวิ๋นเซิงกำลังฟื้นฟูพลัง ตอนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า รอข่าวทางใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋”
สือจวินพยักหน้าเบาๆ
สวีเฟยมีหมอกแสงที่คล้ายโซ่พันอยู่บนร่าง ไม่สนใจและนั่งลงกับพื้น
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งจับตาดูสถานการณ์ของอิ๋งอวี่เจิน ทางหนึ่งคอยสังเกตทางสือจวิน
ในปัจจุบันนี้ ทางด้านพวกสือจวินยังนับว่าดีอยู่
ภายใต้การช่วยเหลือจากตำหนักโอสถกับมุกผ่าดิน ถึงแม้ว่าแสงมารจะปรากฏเลือนรางกลางรอยแยกบนศีรษะของเขา แต่สุดท้ายก็อยู่ในสภาพถูกสะกดไว้
แน่นอนว่าพร้อมกับเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป สภาพของสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินก็แย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งมายิ่งไม่มั่นคง ถึงแม้ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงจะเชื่องช้า ทว่าสถานการณ์ก็ยังคงพัฒนาไปในด้านที่ไม่ส่งผลดี
ผ่านการสั่งสมของเวลา การเปลี่ยนแปลงยิ่งมายิ่งชัดเจน
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นไหว
สวีเฟยมองเขา ฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้า “ทางใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋มีข่าวส่งกลับมาแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอดึงมือออกจากโลงศพน้ำแข็ง ออกจากตำหนักโอสถแกนกลาง ไปจากตำหนักโอสถ
เขายืนอยู่บนยอดเขากว่างเฉิง เงยหน้ามองฟ้า เห็นบนท้องฟ้าของฟ้าเหนือฟ้ามีประกายกระบี่สายหนึ่งสาดแวบขึ้น
ประกายกระบี่พุ่งมาถึงตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ปรากฏร่างของเยว่เจิ้นเป่ย
“ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ยินดีลงมือ” เยว่เจิ้นเป่ยพูดพลางยื่นจานหยกใบหนึ่งให้ “นี่คือความหมายของเขา”
เยี่ยนจ้าวเกอรับไว้แล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้ บนจานหยกเปล่งแสง ปรากฏอักขระอาคมกลางอากาศ
หลังจากอ่านดูอย่างรวดเร็ว เยี่ยนจ้าวเกอใบหน้าฉายแววยินดี “ก่อนหน้านี้ข้ายังมีความกังวล วิธีการของใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋จะต้องใช้ได้แน่”
“ดูจากตอนนี้ พวกเรามีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวค่อนข้างมากแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ บางทีความคิดของข้าอาจกลายเป็นจริงได้”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งสั่งคนให้ติดต่อพวกเกาชิงเสวียนทางมรกตท่องฟ้า
เยว่เจิ้นเป่ยถาม “แผนการที่สี่ที่ตกลงก่อนหน้านี้?”
“ถูกต้อง” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ประกบสองฝ่ามือ จากนั้นก็แยกออกไปสองด้าน แสงผืนหนึ่งสาดออกมา
มาถึงตอนนี้ แทบครอบคลุมเรือเทพบนฟ้าและยอดเขาบนดินไว้ด้วยกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในตำหนักโอสถ
ครู่ต่อมา ในตำหนักก็เหมือนสั่นไหวครั้งหนึ่ง จากนั้นประกายแสงสีเหลืองก็สว่างขึ้นตรงประตูใหญ่ของตำหนัก แต่ถูกเมฆแปลงกำเนิดของเยี่ยนตี๋คลุมไว้
แสงสีเหลืองเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ เคลื่อนไหวในชั้นเมฆที่ขมุกขมัว ไม่ทันไรก็เคลื่อนจากประตูใหญ่ของตำหนักโอสถไปอยู่บนเรือเทพกลางท้องฟ้า
เมฆแปลงกำเนิดพลันหุบลง หดกลับไปอยู่บนเรือเทพ
จากนั้นเรือขนาดมหึมาก็ทะยานลมสวรรค์ แล่นบนทะเลอากาศ แหวกขอบเขตของฟ้าเหนือฟ้า ก่อนจะร่อนเข้าไปในจักรวาลด้วยความเร็วสูง
เรือเทพแล่นอยู่ในจักรวาล มาถึงบริเวณใกล้ๆ มรกตท่องฟ้า
ในมรกตท่องฟ้ามีประกายกระบี่สี่สายบินออกมา พุ่งลงบนดาดฟ้าเรือเทพ เกาชิงเสวียน หลงซิงเฉวียน นักพรตอวิ๋นเจิ้ง กับหลงเสวี่ยจี้ล้วนมาถึง
“รบกวนผู้อาวุโสเกาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอนั่งตัวตรงไม่ลุกขึ้น ยื่นสองมืออกมาด้านหน้า ในความว่างเปล่าระหว่างฝ่ามือเป็นกลุ่มแสงที่ลอยอยู่กลุ่มหนึ่ง
เงาคนบัดเดี๋ยวสูญหายบัดเดี๋ยวปรากฏในกลุ่มแสง
“พวกเราออกเดินทาง” เกาชิงเสวียนที่ได้รับการแจ้งข่าวมาก่อนแล้วไม่มีลังเล รับหน้าที่ต่อจากเฟิงอวิ๋นเซิง กลายเป็นผู้คุมหางเสือของเรือยักษ์ลำนี้
ประกายกระบี่สีแดงก่ำหลายสายพรั่งพรูออกมาจากตัวเกาชิงเสวียน แล้วเคลื่อนไหวเกาะเกี่ยวกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง
บนผิวของเรือขนาดใหญ่เหมือนกับถูกชุบไว้ด้วยสีแดงชั้นหนึ่ง แสงสีแดงยิ่งมายิ่งเจิดจ้า ถึงตอนสุดท้ายก็ครอบคลุมเรือยักษ์นาวาเทพไว้ทั้งลำ
จากนั้นแสงสว่างก็ไหลเวียน กลางจักรวาลที่มืดมิดเหลือเพียงกระบี่สีแดงก่ำเล่มเดียว
ประกายกระบี่สาดวาบแล้วออกห่างไปในชั่วพริบตา พุ่งออกจากจักรวาลฟ้าฟื้น เข้าไปในมิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี