มารจิตแรกเริ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอันใด สหายร่วมเส้นทางทีปังกรบอกกล่าวได้เต็มที่”
“พระพุทธองค์ต้องการใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับคำมั่นสัญญาของนพยมดลก” ใจกลางฝ่ามือของทีปังกรพุทธะปรากฏบัวเขียว “ไม่ทราบนพยมโลกสนใจหรือไม่?”
มารจิตแรกเริ่มว่า “ดูเหมือนอามิตาภพุทธเจ้าจะเห็นด้วยแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้พวกเราย่อมยินดี”
“เช่นนั้นรออีกสักหน่อย ข้าจะติดต่อสหายร่วมเส้นทางเอง” ทีปังกรพุทธะยิ้ม
ภาพเงาของมารจิตแรกเริ่มตรงหน้าค่อยๆ สลายไป หมอกควันที่เต็มไปด้วยสีสันสูญสลาย ไฟตะเกียงในแสงพุทธอันกลมสมบูรณ์กลับคืนสู่สภาพเดิม
ทีปังกรพุทธะลุกขึ้นยืนจากความว่างเปล่า ร่างกายล่องลอยไม่แน่นอน เหมือนกับยึดครองมิติเวลาทั้งหมด คงอยู่ทุกที่ ความว่างเปล่าอันไพศาลเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านคล้ายกับสูญเสียนิยามด้านระยะห่างไป
ครู่หนึ่ง ร่างของทีปังกรพุทธะพลันมั่นคง ปรากฏขึ้นในอาณาบริเวณอีกแห่งหนึ่ง
กลางความว่างเปล่าอันมืดมิดตรงหน้าท่านพลันเกิดแสงสว่าง ผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธท่านหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านใน ทั่วร่างคือแสงพุทธกลมสมบูรณ์ เป็นสีทองบริสุทธิ์ แสงเพลิงสีขาวไหลเวียน ส่องสว่างจักรวาลรอบๆ เหมือนกับพุทธเกษตรแสงสว่าง
“อดีตพุทธะสบายดี” อีกฝ่ายไหว้ทีปังกรพุทธะ ทีปังกรพุทธะก็พนมมือไหว้เช่นกัน “พระโพธิสัตว์สบายดี”
นักบวชศาสนาพุทธผู้นี้กลับเป็นมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ มักติดตามอยู่ข้างกายอามิตาภพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์กวนอิม ถูกเรียกรวมกันว่า ‘ไตรเทพประจิมทิศ’ เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธที่อยู่ในชั้นแถวหน้าของแดนสุขาวดีตะวันตก
ท่านใช้แสงแห่งปัญญาอันพิเศษเฉพาะสาดส่องสิ่งมีชีวิตบนโลก ทำให้สรรพสิ่งหลุดพ้นจากการนองเลือด มีพลังงานที่สูงส่ง สภาวะอานุภาพไร้พันธนาการ ด้วยเหตุนี้ มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์จึงมีฉายาแรกว่ารัศมีปัญญา
ถึงจะเรียกพระโพธิสัตว์ แต่ว่าท่านได้สำเร็จมรรคผลศาสนาพุทธเหมือนกับพระโพธิสัตว์กวนอิและทีปังกรพุทธะ กลายเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ชั้นมหาชาลมานานแล้ว
“พระพุทธองค์มอบร่างแปลงให้แล้ว?” มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ถาม
“มิผิด” ทีปังกรพุทธะตอบ “อาตมาพบมารจิตแรกเริ่มมาแล้ว”
มหาสถามปราปต์พยักหน้า “สามพิสุทธิ์สายหลักมีการเคลื่อนไหว กลับเป็นสหายร่วมเส้นทางหนานจี๋เผยโฉมเป็นผู้นำ พาคนไปในความว่างเปล่า ถึงขั้นทำลายซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง”
“สหายร่วมเส้นทางหนานจี๋หรือ?” ทีปังกรพุทธะคล้ายนึกอะไรออก
มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ยิ้มขึ้น “หลังจากตรวจสอบโบราณสถานแห่งนั้น ดูท่าทางเหมือนกำลังตามหาธงเหลืองโบ่วกี้หยกมายาอยู่”
ทีปังกรพุทธะอดยิ้มขึ้นไม่ได้
ธงเหลืองโบ่วกี้ ของวิเศษที่เคยอยู่ในวังหยก สรรพวิชายากทำลาย ความชั่วร้ายมิอาจกล้ำกราย ความแข็งแกร่งของพลังป้องกันเป็นหนึ่งในของล้ำค่าไม่กี่ชิ้นในประวัติศาสตร์สำนักเต๋า
ในสงครามเมื่อยุคสถาปนาเทพโบราณตอนต้น ถึงขั้นที่หยุดแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของมหาวิทยราชมยุรีได้
หลังจากยุคโบราณตอนต้น ก็มีการกล่าวถึงที่อยู่ของมันไม่เหมือนกัน มีคนคิดว่ายังถูกเก็บไว้ในวังหยก มีคนคิดว่าหายไปแล้ว มีคนคิดว่าถูกเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดที่หลุดพ้นนำติดตัวไปด้วย
สรุปก็คือ ของวิเศษชิ้นนี้หายไปหลังจากยุคโบราณตอนต้น
ถ้าหากว่าหาเจออีกครั้ง ย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนจริงๆ
เปรียบเทียบกับแดนสุขาวดีตะวันตก เขาดาราทะเลดวงดาวบางทีอาจให้ความสำคัญกับของวิเศษชิ้นนี้มากกว่า
ถ้าเผ่าปีศาจได้ธงเหลืองโบ่วกี้ไป สถานการณ์ที่มิอาจทำอะไรมหาวิทยราชมยุรีเมื่อได้เมื่อก่อนหน้านี้ จะหายไปทันที
กล่าวจากด้านนี้ ถ้าหากว่าแดนสุขาวดีตะวันตกชิงมาได้ ต่อให้ตนไม่ใช้ ก็รักษาพลังคุกคามของมหาวิทยราชมยุรี ทำให้เผ่าปีสาจจนปัญญาได้
แต่ถ้าเทียบกับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ธงเหลืองโบ่วกี้ด้อยกว่า
หากบอกว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจตามหาธงเหลืองโบ่วกี้ มองข้ามกระบี่เล่มสุดท้ายในสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียน มองข้ามความเป็นไปได้ที่จะทำให้ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง กลับเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่เป็นการพรางตาที่สำนักเต๋าสายหลักใช้
หนำซ้ำยังเป็นการพรางตาที่ไม่ชาญฉลาดนัก
จะต้องมีแผนการตามหลัง ไม่อย่างนั้นมีแต่ทำให้คนหัวเราะเยาะ
แดนสุขาวดีตะวันตกกับโถงเซียนต่อให้วางหลุมพรางรอให้สำนักเต๋าสายหลักกระโดดลงไป ก็ไม่มีทางแสร้งเชื่อการพรางตาแบบนี้ กลายเป็นเสือถูกล่อลงจากเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี