“ถ้าต้องการวางแผนเล่นงานนพยมโลก จังหวะเวลาความจริงสมควรตัดสินกันที่นพยมโลก” เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายนึกอะไรได้ “แต่ว่าคนอื่นๆ สามารถหาวิธีขัดขวางนพยมโลก เพื่อชิงเวลาให้แก่ตัวเอง”
“พอทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เป็นจังหวะเวลาที่ทุกอย่างจเริ่มขึ้น”
“ถ้าหากว่านพยมโลกเตรียมตัวเรียบร้อย คนที่ไม่ได้เตรียมตัวและไม่มีวิธีขัดขวางนพยมโลก ต่อให้จังหวะเวลามาถึง ก็ตามหมากตานี้ไม่ทัน” สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางใคร่ครวญ
แน่นอนว่า ต่อให้ตามหมากตานี้ไม่ทัน ก็มิได้หมายความว่าไม่เกี่ยวข้อง
มีคำพูดโบราณกล่าวได้ดียิ่ง คือเรื่องสำเร็จไม่พอ เรื่องล้มเหลวมีมากมาย
คนที่ไม่ได้เตรียมตัว สามารขัดขวางคนที่สามารถเตรียมตัวดีแล้วได้
ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้อีกฝ่ายสำเร็จ ผลที่ตามาในหลายหลังคือต้องเผชิญเจ้ามรรคาเพิ่มอีกคน
เรื่องราวทำนองนี้ไม่มีหลักการที่ว่าทำร้ายคนอื่นส่งผลเสียต่อตัวเอง ขอแค่ทำร้ายคน ต้องมีผลดีกับตัวเอง
ต่อให้ครั้งนี้ไม่ได้อะไรมา ก็สามารถวางแผนไว้ก่อน เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์หน้าได้
ระดับความรุนแรงของมหาภัยในครั้งนี้อย่าน้อยก็ไม่ด้อยกว่าศึกชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเหนือกว่า
ในระดับหนึ่งแล้ว การช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนของพวกทีปังกรพุทธะกับลู่ยาเต้าจวิน ไม่ใช่พอใจแค่การแบ่งสี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนเพียงอย่างเดียว เป็นการเพิ่มพลังให้กับพวกเขา เสริมความแข็งแกร่งแก่รากฐาน เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสชนะในการช่วงชิงวาสนาระดับมรรคาต่อจากนี้
“ลู่ยาเต้าจวินยังต้องตามหาเปลือกร่างที่เหมาะแก่การคืนชีพของมารไฟปิ่ง นี่เป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ยิ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “แต่ว่าเขาสมควรวางแผนไว้ก่อนมหาภัยพิบัติ หรือแม้แต่ก่อนยุคสมัยในปัจจุบันนี้แล้ว สมควรตามหมากตานี้ทัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่แน่ว่าจะเป็นเขา หรือนพยมโลกเริ่มสถานการณ์นี้”
ถ้าไม่ใช่ลู่ยาเต้าจวินรอคอยนพยมโลกพร้อมกับคนอื่น หลังจากเตรียมตัวเสร็จ
เช่นนั้นนพยมโลกก็เตรียมตัวเสร็จ และรอคอยลู่ยาพร้อมกับคนอื่น
เทียบกันแล้ว อย่างแรกมีความเป็นไปได้สูงกว่าเล็กน้อย
“บางทีอาจเป็นการรอที่กินเวลานานยิ่ง” หยางเจี่ยนยิ้ม “ระหว่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้”
“นอกจากทีปังกรพุทธะ พระอาจารย์เสวียนตู และลู่ยาเต้าจวินแล้ว ยังมีคนอื่นบรรลุถึงก้าวสุดท้ายในขั้นสูงสุดของระดับมหาชาลหรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ ก่อนจะถามขึ้น “ไม่ทราบว่าวันนี้มหาวิทยราชมยุรีมีสารีริธาตุศรีศากยมุณีกี่ชิ้น รวบรวมครบแล้วหรือยัง?”
หยางเจี่ยนตอบ “ตามคำพูดที่อาจารย์อาเสวียนตูบอกเหล่าจวิน ทั้งหมดน่าจะมีสารีริกธาตุศรีศากยมุณีห้าชิ้น ปัจจุบันมหาวิทยราชมยรุีมีอยู่ในมือเท่าไหร่ ยังไม่อาจยืนยัน แต่แน่ใจว่ายังรวบรวมไม่ครบ”
ในสงครามตอนแรก มหาวิทยราชมยุรีกับเผิงท่องเมฆหมื่นลี้สองพี่น้องใช้วิธีการส่งกระแสเสียงในการสนทนา ไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้
ดังนั้นพวกเยี่ยนจ้าวเกอกับหยางเจี่ยนก็ไม่ทราบว่ามหาวิทยราชมยุรีมีสารีริกธาตุกี่ชิ้นในมือ ไม่ทราบว่าทางพระศรีอาริย์มีอยู่กี่ชิ้น
แต่การชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนในครั้งนี้ ทีปังกรพุทธะยังคงอาศัยสารีริกธาตุแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยราชมทยุรี แลกกับการลงมือของอีกฝ่าย เป็นที่ทราบได้ว่า หลังจากวันนี้ มหาวิทยราชมยุรีจะต้องรวบรวมสารีริกธาตุไม่ครบ
ไม่อย่างนั้นเมื่อมีมหาวิทยราชมยุรีเป็นคู่ต่อสู้ ทีปังกรพุทธะคงปวดศีรษะเป็นคนแรก
“ในฐานผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธเหมือนกัน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะแย่งชิงวาสนาเดียวกันอยู่ ต่างอยู่ที่นพยมโลก” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งคิดทางหนึ่งพูด “ลู่ยาเต้าจวินกลายเป็นพระไวโรจนะพุทธะในยุคโบราณตอนกลาง เกี่ยวข้องกับทางศาสนาพุทธเช่นกัน ดูเหมือนว่ากำลังรอเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่”
หยางเจี่ยนเอ่ย “รายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร มีน้อยคนที่รู้ เรื่องราวคล้ายกันเดิมทีต่างลี้ลับ เป็นเพราะว่าทุกฝ่ายให้ความสนใจ ดังนั้นจึงกระจายข่าวส่วนหนึ่งออกมา”
ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการให้เส้นทางที่ตนเองลำบากวางแผนกำหนดขึ้นมาขาดสะบั้น เส้นทางในอนาคตไร้ความหวัง ทุกอย่าพร่ามัว เพราะคนอื่นๆ ทำลาย
ในเรื่องราวแบบนี้ การเก็บงำจนร่ำรวย จึงเป็นหลักการที่ถูกต้อง
เพียงเสียดายที่ นี่เป็นสิ่งที่คนทุกคนให้ความสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่คิดทำตัวเงียบๆ แล้วจะทำได้
ไม่พูดถึงการทำนายอนุมานแต่ละอย่าง เพียงอาศัยการวางแผนการและการเตรียมตัว ค้นหาวัตถุที่จำเป็นส่วนหนึ่งของคนคนเดียว ก็เห็นเลศนัยได้โดยง่าย
แต่ว่าทุกนต้องบากหน้าเดินต่อไป ไม่อาจยอมอดข้าวเพราะกลัวสำลัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี