เหล่าพุทธยืนเรียงกันตรงหน้าทีปังกรพุทธะ ท่าทางแตกต่างกันไป
พอได้ยินคำพูดของทีปังกรพุทธะ นักบวชศาสนาพุทธทั้งหมดต่างพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
สำนักเต๋าสายหลักได้รับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน มีความมั่นใจจะต่อสู้กับขุมกำลังอื่นๆ ไม่ต้องหลบซ่อน รอถูกกระทำค่อยดิ้นรนอีกต่อไป
ตอนนี้พวกเขารุกถอยได้ตามใจ สามารถตั้งรับและโจมตี เปลี่ยนจากถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ
รุกสามารถวางแผนด้วยตัวเอง ถอยสามารถเร้นกายเก็บตัว ค่อยๆ วางแผนพัฒนาต่อไป
ไม่เหมือนกับโถงเซียนและแดนสุขาวดีบัวขาว คิดจะหาความก้าวหน้า ต้องขยับขยายดินแดน เพิ่มจำนวนประชากร รวบรวมพลังศรัทธา ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับขุมกำลังอื่นๆ
เป็นเพราะเดินบนเส้นทางที่คล้ายกัน ระหว่างพวกเขาเป็นทั้งคู่แข่งโดยตรง และเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดของอีกฝ่าย
สงครามสร้างเสริมและรวบรวมความศรัทธาได้เช่นกัน
ในมุมมองหนึ่ง สงครามขนาดใหญ่ที่ทุกๆ ร้อยปีโดยประมาณจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งระหว่างเส้นทางนอกรีตสองฝ่าย ต่อให้กลัวว่าจะแบ่งผลแพ้ชนะสุดท้ายไม่ได้ แต่ก็ต้องกระทำ เพราะมีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่
เป็นเพราะสาเหตุหลายอย่าง ถ้าสงครามระหว่างโถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวต่างเข้าสู่ช่วงตัดสินชัยชนะจริงๆ แดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจยากจะนั่งมองอยู่เฉยๆ
สำนักเต๋าสายหลักซึ่งก่อนหน้านี้แทรกอยู่ตรงกลางคอยมองหาโอกาสรอด หลังจากครอบครองค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ก็สามารถนั่งอยู่บนแท่นตกปลา คอยมองดูเสือสู้กันได้แล้ว
เทียบกับแดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจแล้ว สำนักเต๋าสายหลักในปัจจุบันย่อมมีอิสระกว่ามาก
“ก้าวหนึ่งผิด ก้าวต่อมาก็ผิด” วัชรอภิณฑ์พุทธะกล่าวอย่างแช่มช้า “ก่อนหน้านี้มองข้ามผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์เกินไป ตอนนี้เหมือนหางใหญ่ส่ายไม่ได้[1] ต่อให้คิดจะร่วมมือกับเผ่าปีศาจจัดการพวกเขาก่อน ก็คล้ายเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้แล้ว”
ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ สำนักเต๋าสายหลักในปัจจุบันก็เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับแดนสุขาวดีตะวันตก และเขาดาราทะเลดวงดาวในระดับหนึ่ง
ต่อให้หลายฝ่ายร่วมมือกัน การทำลายขุมกำลังยิ่งใหญ่แบบนี้ ราคาบางอย่างก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องจ่าย
ปัญหาอยู่ที่ ผู้ใดจะแบกรับราคานี้?
ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างรับฝั่งเดียวไม่ได้
ถึงแม้ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตกตายพร้อมกับสำนักเต๋าสายหลัก ปราณกำเนิดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ต่อจากนี้ยามเผชิญหน้ากับขุมกำลังอื่นๆ ก็ยากจะต้านทาน หลีกเลี่ยงความล้มเหลวไม่ได้
พูดถึงที่สุด ระหว่างพวกเขามีความเกี่ยวข้องเป็นคู่ต่อสู้กัน
“เป็นอาตมาโลภมาก คิดช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนสมบูรณ์ กลายเป็นว่าเลี้ยงเสือขึ้นเป็นภัย” ทีปังกรพุทธะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์โลภโกรธหลง อาตมายังทำลายไม่ได้”
วัชรอภิณฑ์พุทธะส่ายหน้า “อดีตพุทธะกล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมความขัดแย้งระหว่างโถงเซียนกับบัวขาวนอกรีต ไม่อย่างน้อยมีแต่จะมอบโอกาสให้ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ได้ฉกฉวยมากกว่าเดิม พวกเรารอคอยภัยพิบัตินพยมโลกก่อน จากนั้นค่อยตัดสินแพ้ชนะกับเผ่าปีศาจ และกำจัดพวกเดียรถีเส้นทางนอกรีต”
“เพียงแต่ตอนนี้โถงเซียนเผชิญกับบัวขาวเส้นทางนอกรีต กลับอ่อนแอลงส่วนหนึ่งแล้ว…”
นักบวชศาสนาพุทธต่างพนมมือ เปล่งคำสรรเสริญคุณ
ทีปังกรพุทธะถอนใจยิ้มขึ้นเช่นกัน “เริ่มต้นช้าไปแล้ว ที่มีสถานการณ์ในตอนนี้ ก็หายากมากพอแล้ว”
“ทางเมตไตรยได้เก็บสารีริกธาตุชิ้นหนึ่งของพระศรีศากยมุณีพุทธเจ้าไว้เช่นกัน ถ้าหากว่าเกลี้ยกล่อมมหาวิทยราชมยุรีได้ โถงเซียนก็อันตรายแล้ว” เวลานี้พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า “ในที่สุดพวกเรายังมีธงวิเศษบัวเขียว สามารถต้านทานมหาวิทยราชมยุรีได้ แต่ยังคงต้องระวังตัว หากมีช่องโหว่วนิดเดียว สถานการณ์อาจพังพินาศโดยสมบูรณ์”
ธงวิเศษบัวเขียวเหมือนกับธงเหลืองโบ่วกี้ สามารถป้องกันแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของมหาวิทยราชมยุรีได้
แต่ว่าในด้านการป้องกัน กลับสูญเสียการรุกโดยธรรมชาติ
รับมือคนอื่นยังใช้ไม่เปลี่ยนแปลงรับมือหมื่นเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าการรับมือยอดฝีมืออย่างมหาวิทยราชมยุรี ถ้าไม่ระวังนิดเดียว สถานการณ์อาจจะกลายเป็นน้ำไหลพันลี้[2] ในระยะเวลาที่สั้นสุดขีด ไม่มอบโอกาสให้คนเปลี่ยนแปลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี