ในตอนระดับพลังฝึกปรือยังต่ำ เฟิงอวิ๋นเซิงขึ้นชื่อเรื่องการศึกจริง
ถ้าหากไม่ได้ไปนพยมโลกในตอนนั้น ตามปกติแล้ว บางทีความเร็วในการยกระดับพลังฝึกปรือของนางเพียงนับว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง
พรสวรรค์และขีดความสามารถมากมายของนางแสดงออกมาในตอนทำศึกกับคนอื่น
รอกลับมาจากนพยมโลก เป็นเพราะสาเหตุพิเศษ ความเร็วในการยกระดับความสามารถของนางก็สูงสุดขีดมาตลอด กลับจำเป็นต้องควบคุมตลอดเวลา เพื่อไม่ให้รีบร้อนเกินไป
ยามลงมือเข่นฆ่าผู้คน นางยิ่งแสงความดุร้ายออกมามากกว่าเดิม ต่อให้บรรลุถึงระดับสุญญตาและมหาชาล ก็มีไม่กี่คนสู้ได้
เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่ได้หยุดลงบนพื้นฐานนี้ แต่ว่าพัฒนามากขึ้น ถึงแม้วิธีการจะค่อนข้างเป็นที่ถกเถียง แต่ว่านางเป็นหนึ่งในคนซึ่งมีผลคุกคามมากที่สุดท่ามกลางเซียนสวรรค์มหาชาลในสำนักเต๋าสายหลัก ณ เวลานี้
ไม่ลงมือยังพอว่า เกิดได้ลงมือ ก็ต้องมียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สิ้นชีพ
เรื่องราวอย่างการลอบสังหาร คนบางคนไม่ถือสา ถึงขั้นที่ยินดีไปทำ ทว่าวรยุทธ์ที่ฝึกปรือกับพลังส่วนตัวของพวกเขาไม่เหมาะสม
คนบางคนมีความสามารถไปทำ เหมาะไปทำ แต่เจ้าตัวใช่ยินยอมทำ
เฟิงอวิ๋นเซิงเชี่ยวชาญทางด้านนี้ ขณะเดียวกันก็ยินดีแสดงความถนัดออกมา
นี่ทำให้พลังทำลายล้างที่เดิมดุดันอยู่แล้วของนาง หลายๆ ครั้งแล้วถูกขยายเพิ่มเป็นเท่าตัว
ปัจจุบันในสายตาของยอดฝีมือแต่ละเส้นทางอย่างแดนสุขาวดีตะวันตกและเผ่าปีศาจ ถ้าเซียนสวรรค์มหาชาลทั้งหลายของสำนักเต๋า ไม่คิดใช้ค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ความอันตรายของเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่เหนือกว่าตัวเจ้าแม่อู๋ตัง นางเซียนอวิ๋นเซียว จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่กวนอวี่ลั่วคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มักรู้สึกสะท้อนใจ
จิตดาบมรรคายุทธ์ในอดีตของเฟิงอวิ๋นเซิง ล้วนเป็นเส้นทางที่เปิดเผยตรงไปตรงมา เปิดสุดปิดสุด ยิ่งใหญ่เกรี้ยวกราด
นิสัยของนางก็ค่อนข้างต่างกับเจี่ยนซุ่นหวาราชันพระราหู
การเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ ทำให้กวนอวี่ลั่วกังวลว่าจะสั่นคลอนอนาคตของเฟิงอวิ๋นเซิง และเป็นห่วงว่าวิชาดาบอย่างนี้จะส่งผลต่อจิตปณิธานของนาง
“อวี่ลั่วไม่ต้องเป็นห่วงข้า” เฟิงอวิ๋นเซิงตบมือนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงวิถีวิชาดาบในตอนนี้กับข้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ณ ตอนนั้น แต่ว่าเหมือนหลักการแสงและความมืดอยู่ตรงข้าม หยินหยางให้กำเนิดกันและกัน การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันไม่มีทางทำลายความเชื่อและมรรคายุทธ์ก่อนหน้านี้ของข้า ตรงกันข้ามอาจจะยกระดับขึ้น”
“นี่เป็นเส้นทางที่ข้าวางแผนไว้แต่แรกแล้ว รู้สึกมั่นใจ วางใจเถอะ”
กวนอวี่ลั่วพอฟัง พยักหน้าเหมือนนึกอะไรได้
แตกต่างกับกวนอวี่ลั่ว เมิ่งหวานผลักเปิดประตูเซียนแล้ว เข้าใจหลักการฟ้าดินในด้านต่างๆ มากกว่าเดิม
นางมองเฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้พูดอะไร ส่ายหน้าน้อยๆ ในใจ
‘ศิษย์พี่กล่าวไม่ผิด เส้นทางนี้ท่านสามารถเดินได้จริงๆ แต่นี่ใช่ว่าเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของท่านกระมัง? หนำซ้ำต่อให้เดินได้ ด้านในก็มีอันตรายมากมาย ไม่ราบเรียบ บางทีหากท่านเดินบนเส้นทางอื่น อาจราบรื่นยิ่งกว่า’
เมิ่งหวานกล่าวในใจ ‘เบื้องหลังอันงดงามของยุคสมัยนี้ ไม่อาจแยกจากความมืดไร้สิ้นสุด…’
สิ่งที่นางคิดแม้มีมาก แต่เปลือกนอกไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อ ไม่พูดถึงเรื่องราวด้านนี้อีก
คุยไปคุยมา เฟิงอวิ่นเซิงสีหน้าสั่นไหวเล็กน้อย “เอ๋? จ้าวเกอออกฌานแล้ว”
แตกต่างกับการสะท้านฟ้าสะเทือนดินในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด เมิ่งหวานกับกวนอวี่ลั่วต่างสัมผัสไม่ได้ ทว่าพวกนางย่อมเชื่อการแยกแยะของเฟิงอวิ๋นเซิง
คนทั้งสองยิ้มพลางผุดลุกขึ้น บอกลาเฟิงอวิ๋นเซิง
ระหว่างเฟิงอวิ๋นเซิงกับพวกนางไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง หลังจากนัดแนะกันว่าครั้งหน้าค่อยคุยกันเสร็จ ก็ส่งแขกจากไป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเขาหลังของเขากว่างเฉิง
รอนางไปถึงด้านหน้าถ้ำศิลาที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าฌาน ประตูของนิวาสสถานก็เปิดเองโดยอัตโนมัติ
การตกแต่งในนิวาสสถานเรียบง่าย มีเบาะไม่กี่ใบ
หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงเข้าไป ก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่บนเบาะใบหนึ่ง ศีรษะมีบุปผาแสงส่องระยิบระยับ กอปรเป็นบุปผาจิตที่พร่างพราวดอกหนึ่ง!
ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด สามบุปผาบนกระหม่อม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี