เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองสือเถี่ยที่เงียบเชียบไม่เอื้อนเอ่ย ตนเองก็ตกเข้าสู่ห้วงความนิ่งเงียบ ทอดถอนใจไร้สุ้มเสียง
การสนทนาแลกเปลี่ยนของทั้งสอง ล้วนพูดคุยผ่านการส่งกระแสจิต คนรอบข้างยากล่วงรู้เนื้อหา
เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่เบื้องหลังเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่รับรู้สาเหตุสักนิด
อาจารย์ลุงใหญ่สือเถี่ยที่แต่ไหนแต่ไรมาประหนึ่งดังขุนเขา ราวกับสามารถยกผืนฟ้าขึ้นได้ บัดนี้หมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอย่างหาได้ยาก แม้แต่นางยังมองออกได้
ราวกับเขาสูงตระหง่าน ถูกอาทิตย์อัสดง ฉาบย้อมสีตะวันสายัณห์ไว้ชั้นหนึ่ง
หากแต่ไม่นานนัก นัยน์ตาทั้งสองของสือเถี่ยที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นอีกครั้ง
เขาลืมตาครั้งนี้ราวกับราชสีห์ในห้วงนิทราตื่นตัว ความหดหู่สิ้นหวังก่อนหน้าเลือนหายหมดสิ้นไม่พบ ที่ปรากฏเบื้องหน้าผู้คนยังคงเป็นราชสีห์โลหะที่ทรงอำนาจมากกำลังผู้นั้น
เฟิงอวิ๋นเซิงมองดูภาพฉากนี้ ถึงขนาดนึกว่าภาพที่ตนเห็นสักครู่ ล้วนเป็นความรู้สึกลวง
สายตาสือเถี่ยเพ่งมองดินแดนบรรพชนของตระกูลหวังที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยด้วยความสงบนิ่งว่า “อย่าให้มหาค่ายกลแดนมารตั้งขึ้น ทำลายมันเสีย”
“ข้าบุกจู่โจม พวกเจ้าล้อมกวาดจากทั้งสี่ด้านก็พอ เหลือคนเฝ้าไว้รอบนอก ยกระดับการระวังภัย เตรียมพร้อมเหตุกะทันหันทุกเมื่อ”
เสียงของเขาไม่ได้ดังชัดเท่าใดนัก และก็ไม่ได้ทอดเสียงออกไปไกล หากแต่กลับทำให้จอมยุทธ์กว่างเฉิงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ยินกระจ่างชัดกันถ้วนทั่ว ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจแน่วแน่จากน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำหนักแน่นเสียงนั่น
พวกเยี่ยนจ้าวเกอรับปากอื้ออึง ครั้นสือเถี่ยกล่าวจบ ก็เหินขึ้นจากยอดเขาอันแห้งแล้ง
ในร่างกายของเขามีแสงวาวโรจน์ฉายออกมาจากภายนอกสู่ภายนอก ทั่วทั้งร่างราวกับกลายเป็นเทพสวรรค์และปฐวีเทพที่หล่อหลอมจากเพชรองค์หนึ่ง
ชั่วขณะถัดมา สือเถี่ยสาวเท้า ส่องแสงสุกสกาวทั่วฟ้าดิน การขยับขยายของหมอกมารสีดำถูกสกัดกั้นฉับพลัน
ผู้คนมาถึงยังกลางอากาศเหนือดินแดนบรรพชนตระกูลหวังโดยตรงแล้ว ตามการสืบเท้า ลงเหยียบพื้นดินก้าวหนึ่งนี้ของสือเถี่ย
ด้วยการกดอัดจากพลังที่ควบแน่นแข็งแกร่งทรงพลังถึงที่สุด บนพื้นดินบรรพชนตระกูลหวังพลันมีลวดลายค่ายกลส่องสว่างขึ้นมา ก่อตัวเป็นค่ายกลแนวรับมโหฬารค่ายหนึ่งกลางอากาศ พยายามจะต้านทานพลังกดอัดที่สือเถี่ยนำพามา
ทว่าครั้นปะทะกับสือเถี่ยผู้กล้าแกร่ง ก็แทบจะไม่มีความเฉื่อยชาแม้แต่น้อย มหาค่ายกลเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเครื่องลายคราม ส่งเสียงดังโครมคราม!
ร่างของสือเถี่ยไม่ได้ว่องไว เขาลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง ราวกับไม่มีอะไรสามารถขัดขวางฝีเท้าของเขาได้
อย่างน้อยที่สุด มหาค่ายกลดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง ก็ต้านทานไว้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใด รังเก่าผ่านการวางแผนจัดการอย่างตั้งใจ สั่งสมจัดแต่งรุ่นต่อรุ่น ล้วนมีพลังอันแก่กล้ายิ่งเพียบพร้อม กลายเป็นข้อได้เปรียบของตน
ยอดฝีมือตระกูลหวังอาศัยมหาค่ายกลดินแดนบรรพชนที่วางแผนและจัดการมานานหลายปี ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายของสำนักเขากว่างเฉิงมาเยือน ก็สามารถขัดขวางไว้ได้ครู่หนึ่งเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะยังคงถูกโจมตีแตกพ่าย ทว่าจะไม่ถึงขั้นไม่มีพลังตอบโต้โดยสิ้นเชิงเป็นแน่
แต่น่าเสียดาย มหาค่ายกลที่สามารถก่อเกิดการกีดขวางแก่ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายซึ่งอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่เจ็ด ขั้นรูปญาณระยะต้น กลับไม่ต่างอะไรกับกระดาษที่แค่แตะก็ขาด เมื่ออยู่เบื้องหน้าสือเถี่ยที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้าย
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางหมอกดำอันเชี่ยวกราก มีเสียงอำมหิตเสียงหนึ่งดังออกมา “ราชสีห์โลหะ!”
ค่ายกลวิญญาณที่สาดแสงสีดำพร่างพราวนับไม่ถ้วน ยามนี้พุ่งทะยานขึ้นมาจากดินแดนบรรพชนตระกูลหวัง แล้วจึงประกอบขึ้นเป็นค่ายกลยันต์แต่ละค่ายตรงใจกลางอย่างฉับไว อีกทั้งเผยพลังปราณน่าพรั่นพรึงออกมา
ค่ายกลวิญญาณค่ายหนึ่งซ้อนด้วยอีกค่ายหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวกอปรขึ้นกลายเจดีย์สูงองค์หนึ่ง รูปร่างคล้ายกับแท่นบวงสวงอย่างไรอย่างนั้น
ภายในแท่นประกอบพิธี ปรากฏเงาร่างหนึ่งวับวาบ มือถือหอกยาวสีดำเล่มหนึ่ง ก่อนจะแทงหอกนั่นไปทางสือเถี่ย!
ปรากฏว่าเป็นยอดฝีมือสุดยอดมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายคนหนึ่ง ซึ่งได้หล่อรูปญาณเป็นหอบวงสรวงเทวะแล้ว!
ดวงหน้าสือเถี่ยเรียบเฉย ประหนึ่งหินผาแข็งแกร่งนิรันดร์ไม่มีเปลี่ยน “ราชันมังกรคะนองน้ำ ซือหม่าฉุย เจ้าอุทิศตนให้นพยมโลกแล้วเช่นกันรึ?”
อีกฝ่ายแทงหอกยาวสีดำในมือออก ราวกับมังกรน้ำเหินฟ้า ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ชั่วขณะนั้นแสงสีดำเปล่งประกายพร่างพราว ประหนึ่งขีดกรีดปากแผลสีดำสายหนึ่งออกมา บนโลกหล้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี