เยี่ยนตี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของมหาค่ายกลนภา รู้สึกได้ว่าอำนาจควบคุมค่ายกลกำลังเคลื่อนย้ายไปยังซินตงผิง
ซินตงผิงมองจ้องเยี่ยนตี๋ สีหน้าใคร่ครวญอยู่บ้าง “ข้ารอหยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
“เยี่ยนตี๋ เจ้ารู้หรือไม่? ไม่เพียงหยวนเจิ้งเฟิง เริ่มตั้งแต่เจ้าเข้าสำนักมา ข้าก็ให้ความสนใจกับความพิเศษของเจ้าเช่นกัน หลายปีมานี้พิสูจน์สายตาของข้ากับหยวนเจิ้งเฟิงแล้ว”
“เพียงแต่ว่ากระทั่งวันนี้ ข้าค้นพบว่าก่อนหน้านี้ยังคงดูถูกเจ้าเกินไป”
เขากล่าวต่อว่า “เป็นเพราะการมีอยู่ของเจ้านั่นแหละ หยวนเจิ้งเฟิงถึงกล้าวางใจไปบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้ ต่อให้เจ้าร่วงโรย สำนักเขากว่างเฉิงก็ยังคงมีตัวตายตัวแทนเช่นกัน”
“แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้ หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌาน โอกาสที่ข้ารอคอยก็มาถึงในที่สุดแล้ว”
เขายื่นสองมือออกไป กลางฝ่ามือซ้ายและขวาต่างมีอักขระยันต์อันลึกลับซับซ้อนอยู่ ขณะที่ส่องแสงวาบวาม ดึงรวมพลังมหาค่ายกลนภา เสริมแกร่งบนร่างเขาไม่ขาดสาย
พลังของซินตงผิงที่แผ่ออกมา ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว” หยวนเทียนกวัดแกว่งแส้ยาวในมือ กลายสภาพเป็นมังกรยักษ์พลิกฟ้า ขวักไขว่อยู่ในมิติต่างแดน รุกโจมตีเยี่ยนตี๋
ซินตงฟิงเอื้อนเอ่ย “จอมมารศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องใจร้อนไป เดินอย่างมั่นคงสำคัญกว่าเดินอย่างฉับไว สิ่งของกับเรื่องที่รับปากเจ้าไว้ ล้วนจะไม่ให้ขาดไปสักอย่าง วางใจได้ทั้งสิ้น”
หลังจากเยี่ยนตี๋สะบัดดาบผ่าแส้ยาวของหยวนเทียน เส้นสายตาจดจ้องซินตงผิง “อาจารย์อาซิน ไส้ศึกของสำนักคือท่าน? ประมุขภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตในข่าวลือนั่น ก็เป็นท่านเหมือนกันหรือ?”
ในแววตาทั้งสองของเขา ต่างมีรอยตราความทรงจำอันเก่าแก่มหัศจรรย์เปล่งแสงขึ้น พร่างพราวอยู่ในม่านตาดำ
มหาค่ายกลนภาบิดไปมาอย่างรุนแรง ถูกจิตใจแน่วแน่ทั้งสองฉุดกระชาก คล้ายกับสามารถฉีกขาดได้ทุกเมื่อ
เยี่ยนตี๋และซินตงผิงต่างก็พุ่งเป้าไปที่อำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภา เปิดฉากช่วงชิงอย่างดุเดือด
ส่วนจอมมารหยวนเทียน ยามนี้พลิกจากท่วงทีเซื่องซึมก่อนหน้า เป็นแกร่งกล้าโจมตีไปทางเยี่ยนตี๋เช่นกัน
เผชิญกับดาบนภาไร้จำกัดของเยี่ยนตี๋ หยวนเทียนปะทะชนซึ่งหน้าอย่างไม่เฉลียวอย่างยิ่ง
ทว่าบัดนี้ การเปลี่ยนมือของมหาค่ายกลนภา ทำให้เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะตัดสินผลต่อสู้
เวลานี้ต่อให้หยวนเทียนจะเสียเปรียบอยู่บ้าง ก็ต้องช่วยซินตงผิงช่วงชิงอำนาจควบคุมมหาค่ายกลก่อนเช่นกัน
ถึงแม้เยี่ยนตี๋จะมีเสื้อคลุมนภาสวมไว้ กระนั้นประมือกับหยวนเทียนไปพลาง ยังต้องแย่งชิงมหาค่ายกลกับซินตงผิงไปพลาง ความได้เปรียบก่อนหน้าพลันหายไป สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
ซินตงผิงไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เพียงแต่สงบจิตใจลงเพื่อเชื่อมประสานกับค่ายกล กล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบว่า “หากข้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ประมุขภาคี เยี่ยนตี๋ เจ้าจะเชื่อหรือ? ส่วนฟางจุ่น เจ้าคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
สำหรับเยี่ยนตี๋ หากยืดเวลาออกไปในขณะที่สูญเสียการประคับประคองจากมหาค่ายกล สถานการณ์อาจจะค่อยๆ พลิกเป็นไม่เอื้อผล
ถึงกระนั้น ขณะนี้ก็ยังคงเยี่ยนตี๋สุขุมเยือกเย็น สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “เห็นท่านแล้ว ข้าก็รู้ว่าศิษย์พี่รองไม่มีปัญหา”
“ท่านเก็บสิ่งที่ศิษย์พี่รองวางลงในตอนนั้น ท้ายที่สุดเดินบนเส้นทางตอนนี้?”
ซินตงผิงจุ๊ปากชื่นชม “ต้องยอมรับ เจ้า สือเถี่ย ฟางจุ่น พวกเจ้าทั้งสามคู่ควรกับนามสามวีรบุรุษกว่างเฉิง ชั่วชีวิตข้านี้เลื่อมใสหยวนเจิ้งเฟิงเพียงแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือความสามารถในการรับลูกศิษย์”
“สือเถี่ยเป็นหินรากฐาน เจ้ากับฟางจุ่นเป็นไม้คานหลังคา เจ้ายังเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะชี้ขาดการก่อสร้างหลังคาสูงในท้ายที่สุด”
“แม้ว่าในด้านพลังความสามารถและพรสวรรค์วิถีวรยุทธ์ ฟางจุ่นจะไม่สู้เจ้า แต่ก็เป็นยอดอัจฉริยะอันหาได้ยาก เด็ดขาดรอบคอบ กล้าคิดกล้าทำเช่นกัน ”
“ทุกคนครั้นเห็นนพยมโลกและอเวจีแล้วต่างก็หยุดชะงัก เขากลับกล้าเข้าไปลึก สัมผัสสำรวจเขตแดนต้องห้ามในสายตาคนอื่น”
ซินตงผิงทอดใจพลางเอ่ย “ที่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งกว่าก็คือ การสำรวจของเขามีผลพวงอย่างแท้จริง การค้นพบมากมายของข้าในวันนี้ ล้วนสร้างอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาของเขาในกาลก่อน”
เยี่ยนตี๋ฟันดาบหนึ่งออกไป ตัดฟ้าผ่าแผ่นดิน ตัดความคิดเหลวไหลแลพยับเมฆอันแปรสภาพมาจากพลังปราณดั้งเดิมของหยวนเทียนจนดับสูญ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี