ในการประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้า มีจำนวนสตรีแห่งจันทราที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้นมาเป็นเจ็ดคน
การทดสอบรอบแรก คัดออกสามคน เหลือไว้สี่คน
มาตรฐานในการพิจารณาตัดสิน ให้เป็นหน้าที่ของมงกุฎแห่งจันทราเอง
ทั้งเจ็ดคนต่างถูกครอบไว้ด้วยลำแสงของมงกุฎแห่งจันทรา ขณะเดียวกันก็กำลังทำให้มงกุฎแห่งจันทราเกิดการตอบสนองร่วม
การแข่งขันพลังความสามารถของสตรีแห่งจันทรา มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับพลังฝึกปรือของทุกคน ทว่าไม่ใช่เพียงแค่การเปรียบเทียบทักษะยุทธ์อย่างเดียวเท่านั้น
การที่สามารถเชื่อมต่อกับมงกุฎแห่งจันทรา และขับเคลื่อนพลังของมงกุฎแห่งจันทราได้ดีกว่าต่างหาก จึงจะเป็นมาตรฐานในการพิจารณาขั้นสุดท้าย ด้านอื่นๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจุดหมายสุดท้ายข้อนี้
การตอบสนองร่วมกับมงกุฎแห่งจันทรา จะแสดงให้เห็นจุดนี้ได้อย่างยิ่งโดยตรง
มงกุฎแห่งจันทรา จะแสดงผลสะท้อนกลับต่อการเชื่อมประสานของทุกคนอย่างเที่ยงธรรม
ระดับความหนาบางและระดับความสว่างของลำแสงทั้งเจ็ดต้น เริ่มค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง
คนที่ยิ่งอ่อนด้อย ลำแสงก็จะยิ่งบางและสลัว ในทางตรงกันข้าม ลำแสงของผู้ที่แข็งแกร่งจะยิ่งหนาขึ้น อีกทั้งยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่อยู่ในสนาม ศิษย์สำนักเขาไร้พรมแดนหลิงฮุ่ยผู้ที่ด้อยที่สุด จึงรั้งท้ายโดยพลัน ถึงแม้ว่าศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์เหนียนเล่ยจะแกร่งกว่าหลิงฮุ่ย ทว่าก็ทำได้เพียงอันดับที่สองนับจากท้ายเท่านั้น
แม้ว่าตำหนักอัสนีสวรรค์จะชี้นำเหนียนเล่ยให้เดินบนทางที่ถูกต้อง เพราะหลินโจวแล้ว อีกทั้งเริ่มค่อยๆ เห็นถึงผลพวงแล้วก็ตาม กระนั้นส่วนที่พวกเขาต้องพยายามยังมีอีกมากมาย ยังต้องใช้เวลามากกว่านี้
ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเมิ่งหว่านแกร่งที่สุด และฝานชิวโดยส่วนใหญ่แล้วครองอันดับที่สองอยู่ในชั่วขณะนี้
ที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ แม้ว่าเฉินซู่ถิงดูเหมือนจะอยู่ในอันดับที่สาม ทว่าอันดับกลับยังไม่นิ่ง
ลำแสงที่ครอบอวิ๋นซิ่วชิงเอาไว้ มีแนวโน้มรุนแรงและรวดเร็วขึ้นอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็นยิ่งสุกสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนเห็นสถานการณ์ดังนั้น ล้วนมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมอยู่บ้าง ถึงแม้จะคาดการณ์ได้ว่าในเมื่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ส่งอวิ๋นซิ่วชิงเข้าร่วม หญิงสาวคนนี้ก็ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
กระนั้นเดิมทีนึกว่านางเพียงแค่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นตัวสำรองของเมิ่งหว่านได้เท่านั้น หากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ก่อนหน้านี้ทุกคนยังคงประเมินนางต่ำไปอยู่บ้าง
รอบแรกคัดออกไปสามคน เหลืออยู่สี่คน นึกไม่ถึงว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีความเป็นไปได้ที่จะครองสองอันดับในนั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทุกคนเริ่มอดที่จะให้ความสนใจกับคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็เข้าร่วมประลองจันทรากายเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
สายตาทุกคนทอดมองไป กลับเห็นว่าลำแสงที่ครอบเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง
เฟิงอวิ๋นเซิงถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เรือนผมยาวที่สยายอยู่ด้านหลังตลอดเวลา ยามนี้ถูกมัดเป็นหางม้า
เมื่อชี้ปลายดาบไปในอากาศ ที่ตรงนั้นก็มีลำแสงสายหนึ่งขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างไปพร้อมกับลำแสง
ทุกๆ คนต่างมุ่นคิ้วให้กับภาพที่เห็น
ลำแสงที่ครอบเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ ครั้นยามมืดสลัว มีระดับประมาณเพียงเท่ากับหลิงฮุ่ยแห่งสำนักเขาไร้พรมแดนเท่านั้น
และในยามที่ส่องสว่างระยับตา กลับไล่ตามเมิ่งหว่านและฝานชิวได้ทันโดยพลัน
พักหนึ่งสว่างพักหนึ่งมืดมัว สลับสับเปลี่ยนเป็นวัฏจักรหมุนเวียน ประหนึ่งแสงเทียนในยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น
การแสดงออกเช่นนี้ ทำให้ทุกผู้ทุกคนต่างคาดเดาไม่ถูกอยู่บ้าง
จะกล่าวว่าเฟิงอวิ๋นเซิงอ่อนด้อยน่ะหรือ ก็ดูเหมือนไม่ถูกต้องเช่นกัน อย่าว่าแต่สตรีแห่งจันทราคนอื่นอีกหลายคนเลย ต่อให้เป็นผู้ชมการประลอง ในเมื่อมายืนดูอยู่ข้างๆ แล้ว ก็ล้วนมีความเข้าใจในการประลองแห่งจันทราที่ไม่ตื้นเขินเลย
พวกเขาสามารถมองออกได้ว่าหญิงสาวที่เคยตกจากหมู่เมฆลงมาจนถึงก้นหุบเขา บัดนี้จันทรากายของนางได้ฟื้นฟูกลับมาจริงๆ แล้ว
หากแต่จะพูดว่านางมีพลังความสามารถน่ะหรือ ในใจผู้อาวุโสเมิ่งแห่งสำนักเขากว่างเฉิงเองก็มีความกังวลเช่นกัน ‘รู้สึกว่า…จะไม่คงที่เกินไปแล้ว เป็นเพราะว่าการฟื้นฟูจันทรากาย ยังไม่สมบูรณ์ถึงที่สุดอย่างนั้นหรือ?’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี