หลังจากฟังคำพูดของสวีเฟย เยี่ยนจ้าวเกอก็มองดูสือจวินอย่างละเอียด
ถึงเด็กน้อยตรงหน้าจะทำตัวร่าเริง แต่ส่วนลึกของดวงตาปรากฏความอ่อนแอและความเปราะบาง มีความกระสับกระส่ายและความกระวนกระวายอยู่หลายส่วน
ลักษณะนั้นเหมือนกับเม่นน้อยที่พร้อมจะตั้งขนขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองตลอดเวลา
ถึงแม้จะทำตัวสดใสและแสดงคามเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าคน ที่ค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนามอย่างเยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟย แต่ในใจก็ยังคงเป็นเด็กอยู่
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกระซิบกับสวีเฟย “ในความทรงจำของข้า นิสัยของสือจวินค่อนข้างขี้กังวลอยู่บ้าง จากคำพูดของศิษย์พี่สวี ตอนนี้จิตใจของเขาส่วนใหญ่จดจ่ออยู่ที่พี่สะใภ้อิ๋งอวี่เจิน จึงกดดันให้ตัวเองใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่”
“แต่สำหรับเรื่องของศิษย์พี่อ เขาก็เป็นกังวลเช่นกัน แม้จะเข้าใจความทุกของอาจารย์ลุงใหญ่ แต่เพราะศิษย์พี่สือ เขาถึงได้เปราะบางมาก และใส่ใจกับความคิดของคนนอกที่มีต่อเขาอย่างยิ่ง”
ชายหนุ่มกล่าวช้าๆ “เป็นไปได้ว่าเขากระหายที่จะพิสูจน์ตัวเอง ค่อนข้างรีบร้อนทีเดียวข้าว่า”
สวีเฟยพยักหน้า พูดว่า “เป็นเช่นนั้น แต่ว่าในฐานะเด็กคนหนึ่ง จะกดดันเขามากไม่ได้”
เยี่ยนจ้าวเกอรำพึง “ถูกต้อง ดีที่ศิษย์พี่สวีใส่ใจ เขาเข้าใจถึงเรื่องราวในอดีตได้ เห็นใจอาจารย์ลุงใหญ่ได้ ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ”
“ไม่เกี่ยวกับข้าใส่ใจหรือไม่ใส่ใจหรอก เส้นทางของเขาต่อจากนี้ ข้าจะทำทุกอย่างสุดความสามารถ”
“มีควาทะเยอทะยานถือเป็นเรื่องดี แต่ทุกเรื่องหากทำมากเกินไปรังแต่จะส่งผลแย่” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “มีดคมเกินไป หากไม่ระวังย่อมบาดมือของตัวเอง ต่อจากนี้ต้องให้ศิษย์พี่สวีท่านลำบากเสียแล้ว”
ขณะที่พูด เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มบาง “แต่ว่าด่านที่ยากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คงจะไม่เกินมือท่าน”
เขาหันหน้าไปมองสือจวิน “เพียงแต่พรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของจวินเอ๋อร์ยอดเยี่ยมยิ่ง รู้สึกว่าเหนือกว่าศิษย์พี่สือเสียอีก”
สายตาของสวีเฟยอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ยอดเยี่ยมกว่าข้าและศิษย์พี่สือเสียอีก ข้าเชื่อว่าเขากลายเป็นคนที่เหนือกว่าเรา”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “อยากจะเหนือกว่าพวกเราไม่ใช่เพียงแค่พึ่งพาพรสวรรค์เท่านั้น”
สวีเฟยยิ้มเช่นกัน “เจ้ากำลังพูดถึงตัวเองหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าพลางยิ้ม สวีเฟยคล้ายนึกอะไรได้ หุบยิ้มแล้วหันไปถาม “จ้าวเกอ ทางพี่สะใภ้อวี่เจินมีหวังหรือไม่”
“อืม ยังต้องพึ่งวาสนาแล้ว…” เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจเสียงหนึ่ง “สถานการณ์ของพี่สะใภ้อวี่เจินแย่กว่าสือจวินในตอนนั้นมาก
“ถึงแม้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับการเดินทางที่แดนเหนือ แต่คิดจะฟื้นสภาพโดยสิ้นเชิงและคืนชีพขึ้นมา ยังคงมีอุปสรรคอยู่อีกมาก”
ชายหนุ่มครุ่นคิดไปพลาง กล่าวอย่างเชื่องช้าไปพลาง “ช่วงนี้ข้าเองก็คิดถึงปัญหาข้อนี้เช่นกัน”
เขาเว้นไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยกล่าวต่อ “อีกไม่กี่วันข้าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่บึงทะเลมายา
“ได้ยินว่าที่บึงทะเลมายามีปรากฏการณ์หมอกฝนชีวิต ถ้าหากให้พี่สะใภ้อวี่เจินแช่ตัวอยู่ด้านใน บางทีอาจจะได้ผล”
สวีเฟยเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดเล็กน้อย “โอ้ ข้าเคยได้ยินเรื่องหมอกฝนชีวิตมาก่อน แต่ว่าของสิ่งนี้เหมือนจะไม่สามารถนำออกมาจากบึงทะเลมายาได้ ไม่เช่นนั้นมันจะสูญเสียประสิทธิภาพ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องพาพี่สะใภ้อวี่เจินไปด้วย”
“ให้ข้าพาจวินเอ๋อร์ไปกับเจ้าเถอะ” สวีเฟยกล่าว
ชายหนุ่มลูบคางของตนเอง “ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเบาบางที่สิบปีเกิดขึ้นหนึ่งครั้งก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นบึงทะเลมายา ศิษย์พี่สวีท่านย่อมไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเป็นจวินเอ๋อร์…”
สวีเฟยมองสือจวินแวบหนึ่ง “โลงศพน้ำแข็งที่บรรจุร่างของพี่สะใภ้เจินอวี่ ตอนนี้เขาเก็บรักษาด้วยตัวเองอยู่ในถุงย่อส่วน คงไม่ยอมให้ห่างจากตัวแน่”
เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “ลองถามเขาดูว่ายอมอยู่ในถุงย่อส่วนเป็นเวลานานไหม แล้วให้พวกเราพาเขาไปด้วย”
เมื่อได้ยินว่ามารดาของตนเองจะได้รับการรักษา สือจวินย่อมดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี