หลังจากตามรอยเมิ่งหว่านไประยะเวลาหนึ่ง ร่องรอยของนางกลับหายไป
ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากนัก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ติดตามก็ส่งข่าวมาว่าพบร่องรอยของนางอีกครั้ง
พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดอะไรมาก มุ่งหน้าตามไปอีกครั้ง ทว่าหลังจากที่พลิกดินข้ามภูเขาตามไปนานพอสมควร ร่องรอยของเมิ่งหว่านก็หายไปอีก
“มีปัญหาแล้ว” สถานการณ์เปลี่ยนกลับไปมา เยี่ยนจ้าวเกอจำต้องหยุดฝีเท้าลง แววตาสีดำหยั่งลึกขึ้น
ปรมาจารย์ชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ผงกศีรษะ “เหมือนนางกำลังหลอกล่อให้พวกเราไปที่ไหนสักที่”
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังแนวเขาที่ต่อกันไปเป็นทอดๆ ตรงหน้า “ซุ่มโจมตีหรือ? ก็ไม่น่าใช่ ตลอดเส้นทางก็ผ่านหลายจุดที่เหมาะกับการซุ่มโจมตีมาแล้ว”
หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่?”
ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป กลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำรอบกายหายเข้าไปในป่าทึบอย่างไร้สุ้มเสียงทันที
ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอเดินลอดเข้าไปในป่าเขาต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีจอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งกลับมารายงาน
“คุณชายขอรับ ห่างออกไปทางตะวันออกสักสองลี้ มีการเคลื่อนไหวของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใกล้ๆ หุบเขาแห่งนี้ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอมองฝ่ายตรงข้าม จอมยุทธ์ชุดดำคนนั้นผงกศีรษะ “เป็นศิษย์รุ่นใหม่ที่อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายทั้งหมด เป็นกลุ่มที่เข้าไปที่หุบเหวปราการมังกรกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ขอรับ”
“ไปดูสักหน่อยแล้วกัน” เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก
ทุกคนอำพรางร่องรอยเอาไว้ พลางเข้าไปใกล้กับหุบเหวอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆ และมองไปในหุบเหว
บัดนี้มีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังคุมเชิงอยู่ในหุบเขาอยู่
ฝั่งหนึ่งมีสามคน ทุกๆ คนสวมชุดสีขาว รีดขอบเสื้อด้วยสีแดง ปักลายดวงอาทิตย์ เป็นศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ทั้งสามคนยืนแยกออกกันเป็นสามมุม ห้อมล้อมและจับจ้องไปคนผู้หนึ่ง
คนที่พวกเขากำลังคุมเชิงด้วย กลับเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง
นางสวมชุดสีขาว ในมือถือดาบสีดำ ผมสีดำสลวยปล่อยยาวดุจน้ำตก
ข้างกายนางมีสุนัขสีดำตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งหมอบอยู่ กำลังจ้องมองไปที่ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนที่ล้อมตัวเจ้าของตนเองอยู่เบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง
สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกอยู่ที่ดาบยาวในมือของเด็กสาว
คมดาบดำสนิทดุจน้ำหมึก แม้อยู่ภายใต้แสงแดดที่ตกกระทบ แต่กลับไม่มีแสงสะท้อนแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ถูกตีขึ้นด้วยโลหะ คล้ายกับถ่านหินสีดำเสียมากกว่า
ทว่าแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปไกลมาก เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของดาบยาวสีดำสนิทเล่มนั้นที่ปลดปล่อยออกมา ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย
มือของเด็กสาวกำดาบยาวเอาไว้แน่น ไม่มีการสั่นคลอนเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้ว่าจะสวมอาภรณ์สีขาว แต่ก็แตกต่างออกไปจากเครื่องแต่งกายของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่พบได้ทั่วไป
ถึงกระนั้นเพียงแค่มองท่าทางการจับดาบของนาง เปลือกตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุก “เหอะ ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม…”
ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมเป็นวรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาเจ็ดสุริยะเช่นเดียวกับหัตถ์เทพกลางเวหาและหัตถ์เงาสนธยา เพลงดาบนี้เลื่องชื่อที่เป็นที่ยอมรับกันไปทั่วหล้า
เด็กสาวชุดขาวผู้นี้เป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
‘นางทำผิดลักลอบฝึกวิชาวรยุทธ์ของสำนัก หรือเป็นความขัดแย้งภายในสำนัก?’
เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความสนใจขึ้นระดับหนึ่ง จึงให้จอมยุทธ์ชุดดำแยกย้ายกันไปไป ส่วนหนึ่งให้ตามหาเมิ่งหว่านต่อ อีกส่วนหนึ่งให้คอยเฝ้าระวังอยู่รอบนอกของหุบเหว
ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนนั้น บัดนี้สายตากำลังจดจ้องอยู่ที่เด็กสาวชุดขาว
ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นที่มีอายุมากกว่าหน่อยกล่าวพูดว่า “ศิษย์น้องเฟิง พวกข้าแค่ช่วยเหลือศิษย์พี่เซียวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดไปเลย”
เด็กสาวชุดขาวยิ้มพลางกล่าวว่า “พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ต้องสู้กันให้รู้แล้วรู้รอดกันอยู่ดี ดูท่าพวกเจ้าคงไม่คิดที่จะหลีกทางให้ข้าอยู่แล้ว”
นางพูดต่ออย่างรวดเร็ว ทว่าก็เด็ดขาดชัดถ้อยชัดคำ ทุกๆ คำพูดทำให้ผู้คนได้ยินอย่างกระจ่างชัด
แม้ว่าจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้า ทว่าสีหน้านางกลับไม่เปลี่ยนแปลง พูดและยิ้มได้ตามใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี