ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 439

เขามังกรเขียวอยู่ในอาณาจักรตะวันตก เป็นแนวเขาขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายออกไปมากกว่าหมื่นลี้

แนวเขามียอดเขาสูงสุดชื่อว่ายอดเขามังกร ตั้งอยู่ที่ตีนเขาทิศใต้ของแนวเขามังกรเขียว และเป็นที่อยู่ของสำนักเขามังกรเขียว หนึ่งในสี่สำนักที่ของโลกลอยน้ำ

ถึงแม้เขามังกรเขียวจะอยู่ห่างจากภูเขาหิมะสะพานหยก แต่ว่าด้วยความรวดเร็วของพวกซูอวิ๋น ก็ยังมาถึงอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่คนในสำนักเขามังกรเขียวเห็นซูอวิ๋น ต่างก็พากันขมวดคิ้วมุ่น

“เจ้าสำนักซู แขกอีกท่านเล่า” ผู้ต้อนรับเป็นชายชรา สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนเสื้อปักลายมังกร เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเขามังกรเขียว

ซูอวิ๋นไม่ตอบ “เจ้าสำนักหลัวเล่า”

ชายชราในเสื้อคลุมสีเขียวขมวดคิ้ว แต่ยังคงตอบคำถาม “เจ้าสำนักอยู่ในตำหนักใหญ่ เพียงแต่…”

นางกล่าวเพียงว่า “หากเจอเจ้าสำนักหลัว ข้าจะบอกเอง ผู้อาวุโสถงมาด้วยกันเถอะ”

ผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมสีเขียวแซ่ถงผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพาซูอวิ๋นไปยังยอดเขามังกรด้วยกัน

เมื่อไปถึงบนยอดเขามังกร และเข้าไปในตำหนักอภิปรายของสำนักเขามังกรเขียว เห็นบุรุษวัยกลางคนที่ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามผู้หนึ่งนั่งอยู่ รอบๆ ตัวขานั่งไว้ด้วยคนหลายกลุ่ม

ซูอวิ๋นกวาดสายตามองแวบหนึ่ง พบว่ายอดฝีมือระดับสูงและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของเขามังกรเขียวล้วนอยู่ที่นี่

บุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ก็คือเจ้าสำนักในปัจจุบันของสำนักเขามังกรเขียว หลัวจิ่งฮ่าว เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่เจ้าสำนักของทั้งสี่สำนัก แต่ว่าพลังฝึกปรือทำให้คนในโลกลอยน้ำไม่กล้าดูถูก

หลัวจิ่งฮ่าวมองผู้อาวุโสถงกับซูอวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกันอย่างสงบ

ที่ด้านข้างเขา ผู้อาวุโสที่ดูมีกำลังวังชาผู้หนึ่งเอ่ยถาม น้ำเสียงดุจระฆังใหญ่ “เจ้าสำนักซู เหตุใดจึงมีแค่ท่าน ข้าจำได้ว่า แขกที่สำนักเราเชิญไม่ได้มีเพียงท่านเท่านั้น”

ซูอวิ๋นอธิบายอย่างเรียบเฉย “นายน้อยของข้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงคิดพักผ่อนก่อน ขออภัยเจ้าสำนักหลัวและผู้อาวุโสทุกท่านด้วย”

เมื่อได้ยินคำเรียกหาที่เยี่ยซูอวิ๋นใช้กับเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวต่างมองหน้ากันเอง

เจ้าสำนักหลัวจิ่งฮ่าวมิได้กล่าวอันใด คิ้วของชายชราที่มีกำลังวังชาผู้นั้นพลันขมวดมุ่น แค่นเสียงกล่าวว่า “วางท่ายิ่งนัก!

“หรือคิดว่าการทำลายประเทศฟู่หรานจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมแล้ว”

ชายชราผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา “ขอถามทุกท่านที่อยู่ที่นี่ มีใครทำลายประเทศฟู่หรานไม่ได้บ้าง”

ซูอวิ๋นมีสีหน้าสงบราบเรียบ “ผู้อาวุโสฉีมิอาจกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อเชิญมาเป็นแขก ผู้เป็นแขกย่อมคำนึงถึงน้ำใจของผู้เชิญ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่มา ผู้เป็นแขกยอมรับคำเชิญย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากบังคับให้ผู้อื่นมาเป็นแขก เช่นนั้นเรื่องนี้ย่อมไม่เหมือนเดิมแล้ว”

ผู้อาวุโสฉีแค่นหัวเราะเหอะๆ “ผู้เป็นแขกย่อมมีสำนึกของผู้เป็นแขก เจ้าสำนักซูอย่าได้ลืมไป ดินแดนตก รวมถึงภูเขาหิมะสะพานหยกเป็นถิ่นของเราสำนักเขามังกรเขียว”

“สถานที่อื่นบนโลกลอยน้ำมีท่าทีต่อจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนลมปราณอย่างพวกท่านอย่างไร เจ้าสำนักซูย่อมทราบดี โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล มีสักกี่ที่ที่ยอมให้พวกท่านอยู่”

ซูอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วอย่างไร ผู้อาวุโสฉีคิดจะไล่สำนักกระเรียนหิมะของข้าออกจากดินแนตะวันตกหรือ”

ผู้อาวุโสถงยกมืดขึ้นปรามผู้อาวุโสฉี ก่อนจะถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักซูกล่าวนหนักไปแล้ว ศิษย์พี่ฉีมิได้หมายความเช่นนั้น”

นางกล่าวอย่างราบเรียบ “ถึงจะหมายความเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”

ผู้อาวุโสฉีเอ่ยอย่างเย็นชา “ไร้สาระยิ่ง ก่อเรื่องที่ถิ่นของสำนักเมฆาโลหิต แล้วมุ่งหน้ามาทางตะวันตก หนีมายังถิ่นของสำนักเรา”

“ถ้าไม่ได้อาศัยบารีมีของสำนักเราในการข่มขวัญสำนักเมฆาโลหิต กลับไม่ทราบว่านายน้อยที่ท่านเรียก จะยังทำตัวไร้สาระเหมือนตอนนี้ได้อยู่หรือไม่”

“ขอแจ้งเจ้าสำนักซูให้ทราบถึงเรื่องหนึ่ง เจ้าสำนักเมฆาโลหิตหลู่หมิงได้ออกจากสำนัก พายอดฝีมือในสำนักมาที่ดินแดนตะวันตกด้วยตัวเองแล้ว”

สีหน้าของซูอวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “แล้วความต้องการของผู้อาวุโสฉีเล่า สำนักเมฆาโลหิตต้องการคน สำนักท่านก็คิดจะมอบคนให้พวกเขาหรือ”

ในที่สุดครั้งนี้เจ้าสำนักเขามังกรเขียว หลัวจิ่งฮ่าวถึงเอ่ยปาก “ศิษย์น้องซู มิจำเป็นต้องใช้การยั่วยุหรอก สำนักของข้ากับสำนักเมฆาโลหิตไม่ได้สู้กันมาแค่หนึ่งหรือสองปี ไม่มีใครกลัวใครทั้งสิ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี