เซียวเซิงก้าวเข้ามาในหุบเขา สายตาจับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง ดวงตาพลันหรี่เป็นเส้นตรงทันที
ความเยือกเย็นแผ่ออกมาจากดวงตาที่หรี่เล็กทั้งสองข้าง อำมหิตประหนึ่งอสรพิษ
ต่อให้เป็นเสียงทุ้มใหญ่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความเยือกเย็นนั้นไปได้ “ดีจริง ดีมาก วันนี้โชคหล่นทับข้าจริงๆ ได้พบกับพวกเจ้าทั้งสองในวันเดียวกันและสถานที่เดียวกัน”
บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราปกคลุมของเซียวเซิงเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา
เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย เพ่งพินิจเซียวเซิง “ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเจ้า ข้ามองแล้วรู้สึกพิลึกชอบกล แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร”
เซียวเซิงได้ยินดังนั้น เส้นเลือดที่ขมับก็กระตุกอยู่หลายครั้ง “เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าพูดไว้ ว่าข้ากับเจ้ายังมีเวลาอีกยาวไกล”
“แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันนั้นจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้”
สายตาของเซียวเซิงเคลื่อนไปทางเฟิงอวิ๋นเซิง น้ำเสียงทุ้มต่ำลงไปอย่างมาก “ศิษย์น้องเฟิง กับเจ้า ข้าก็เคยพูดเหมือนกันว่าเจ้าหนีไม่รอดหรอก”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดูจากสภาพเจ้าแล้ว ตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสจริงๆ สินะ”
เซียวเซิงจ้องเฟิงอวิ๋นเซิงตาไม่กะพริบ “ศิษย์น้องเฟิง ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่เกรงกลัวความตาย ตอนนี้ดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“แต่ไม่ต้องรีบ ข้าจะทำให้เจ้ารู้เอง ว่าบนโลกใบนี้มีเรื่องอีกมากมายที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก”
“แต่ตอนนี้เวลานี้ ต่อหน้าข้า ความเป็นความตายของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงของเซียวเซิงพลันอ่อนลงมาก ทว่ากลับเผยความความเย็นเยือกเข้ากระดูกออกมา “เชื่อข้าสิ แม้เจ้าคิดอยากจะปลิดชีพตัวเอง เจ้าก็ทำไม่ได้”
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มจางๆ วรยุทธ์ของนางในขณะนี้อยู่แค่ระดับยุทธ์หลอมกายเท่านั้น แต่เซียวเซิงกลับอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะท้ายแล้ว
ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่สามารถกำหนดความเป็นความตายของตนได้แล้วจริงๆ
หญิงสาวกำดาบแน่นขึ้นอีก สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “เซียวเซิง เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่ช่วยเจ้ากำจัดจุดด้อยที่สุดของเจ้าไปนะ”
“ไม่รู้สึกบ้างหรือ ว่าสองปีที่ผ่านมานี้เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก?”
แววตาของเซียวเซิงหม่นลงอีก “ฝีปากเจ้ายังดีเช่นเดิมเลยนะ เยี่ยม ข้าชอบตรงนี้ที่สุด”
“อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะมีเวลาค่อยๆ คุยกันจนพอใจแน่”
“เจ้าคงไม่คิดว่าคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าจะปกป้องเจ้าได้หรอกกระมัง ถึงได้มีทีท่าไม่เกรงกลัวเช่นนี้?
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง “ตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเจ้าพังไป กำลังมองเจ้าอยู่บนฟ้านะ”
เซียวเซิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ฉุนเฉียวแต่อย่างใด ทว่ากลับผงกศีรษะแทน “ไม่ผิดหรอก เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเก่งพอตัวจริงๆ”
“ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนข้าดูถูกเจ้า”
“แต่หากเจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้ชนะข้าได้เพราะเจ้าได้เปรียบ เช่นนั้นเจ้าก็คงหลอกตัวเองแล้วล่ะ”
ในขณะที่เซียวเซิงพูด ร่างกายของเขาไม่ไหวติง ทว่ากลับมีปราณจิตราอันทรงพลังถูกปล่อยออกมา
ระหว่างที่ปราณจิตราไหลเวียน แสงสีทองอ่อนที่กะพริบอยู่ก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
พริบตาเดียว ก็มีวงแหวนสีทองล้อมรอบกายเซียวเซิงไว้
ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็พุ่งกระจายออกไปทั่วสารทิศ และกลายเป็นดาบสีทองที่แปรเปลี่ยนจากแสงตะวันนับไม่ถ้วน
ลำแสงสีทองทะลุทะลวงไปไกลในชั่วพริบตาเดียว ผ่านด้านหลังของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และคนอื่นๆ
ท่ามกลางเสียงที่แสบแก้วหู ลำแสงสีทองจำนวนมากบ้างก็แทงเข้าที่หน้าผา บ้างก็ทิ่มลงบนพื้นดิน จนหน้าผาที่อยู่ด้านหลังเยี่ยนจ้าวเกอเกิดรูเป็นร้อยเป็นพัน
แสงสีทองเหล่านั้นปักนิ่งอยู่นานบนหน้าผา
มันเสมือนกับอาวุธของจริง ที่ปักล้อมเยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ เอาไว้ตรงกลาง
บรรดาจอมยุทธ์ชุดดำที่อยู่ข้างหลังเยี่ยนจ้าวเกอล้วนพากันขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อเคลื่อนปราณจิตราได้อย่างคล่องแคล่ว ก็สามารถหลอมสร้างมันให้เป็นอาวุธที่มีรูปร่างได้
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน ล้วนเหนือชั้นกว่าการปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกของปรมาจารย์ชั้นจิตรานอกระยะต้นอยู่พอควร
นับเป็นสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง
การหลอมรวมปราณจิตราให้เป็นรูปร่าง สามารถใช้โจมตีในระยะที่ไกลยิ่งขึ้น ทำให้ศัตรูหนีไปได้ยากยิ่ง
และนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เซียวเซิงไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มลอยจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่กลางอากาศ
นี่ก็คือสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย
พลังทะลุและการหลอมรวมของปราณจิตราของเขาไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว
ในปราณจิตราคล้ายเข็มทองเป็นเล่มๆ ที่เฉาหยวนหลงปลดปล่อยออกมา บัดนี้มีแสงสีทองอ่อนๆ กะพริบอยู่ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกแล้ว!
เฟิงอวิ๋นเซิงมองเฉาหยวนหลง แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “นี่เจ้าชักจูงเข็มทองสุริยันเข้าสู่ร่างกาย แล้วฝืนฝึกฝนปราณจิตราจนถึงขั้นที่สามารถปลดปล่อยสู่ภายนอกได้แล้วหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยสีหน้าสนอกสนใจ “ข้าเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แต่ที่ข้าจำได้ วิธีนี้มีผลข้างเคียงที่หนักเอาเรื่องเช่นกัน มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดร่างกายไม่เว้นวันเว้นคืน ตายเสียดีกว่าอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้การพัฒนาระดับวรยุทธ์ของเจ้าช้าลงด้วย”
ใบหน้าเฉาหยวนหลงยังคงเฉยเมย “เทียบกับความอับอายที่เจ้าทำกับข้าแล้ว ความเจ็บปวดแค่นี้เล็กน้อยนัก”
“แค้นนี้ไม่ชำระ ข้าสาบานว่าจะไม่ขออยู่เป็นคน!”
สิ้นคำพูด เฉาหยวนหลงก็ก้าวเท้าออก ตรงมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ!
เยี่ยนจ้าวเกอยักคิ้ว แล้วสะบัดแขนเสื้อข้างขวาครั้งหนึ่ง พลันมีแสงสีเขียวที่เหมือนสายฟ้าวิ่งออกมา
“มังกรเขียวในชายเสื้อ เยี่ยม!” เฉาหยวนหลงประสานสองมือ ขณะที่ตะโกนเสียงดัง
ทว่ากลับไม่ใช่หัตถ์เทพกลางเวหา
ปราณจิตราสีทองที่หมือนกับเข็มทองเป็นเล่มๆ นั้นอ่อนนุ่มขึ้น ราวกับเส้นด้ายบางๆ นับไม่ถ้วน
เส้นด้ายบางๆ นั้นเลื้อยพันไปมาบนแสงกระบี่เขียวราวกับงู
ประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะระเบิดตัดเส้นด้ายสีทองจนขาดสะบั้น
ทว่าเส้นด้ายบางๆ นั้น เสมือนกับไม่มีจุดสิ้นสุด เข้าเลื้อยพันอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุดก็ค่อยๆ สกัดกระบวนกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอจนสิ้น
เยี่ยนจ้าวเกอยืนพิจารณาวรยุทธ์ของเฉาหยวนหลงอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก สีหน้าแปลกไปบ้างเช่นกัน
เฉาหยวนหลงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าสำเร็จขั้นจิตราชั้นนอกก่อนข้า ข้าจึงพยายามชักจูงเข็มทองสุริยันเข้าสู่ร่างกายโดยไม่สนใจสิ่งใด เพื่อบรรลุเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกให้เร็วที่สุด”
“และเพื่อที่จะฝึกวิชาที่เอาไว้สกัดกั้นวิชามังกรในชายเสื้อของเจ้าให้สำเร็จโดยเฉพาะ!”
“วันนี้เจ้ามันก็แค่มังกรที่ตายแล้วตัวหนึ่ง! ”
……………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี