เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงแล้วยิ้มเล็กน้อย “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากไม่มีนางอยู่ แม้ว่าเจ้าในตอนนั้นจะสูญเสียจันทรากายไปแล้ว แต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะไม่ละทิ้งเจ้าง่ายๆ และยิ่งต้องพยายามมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาฟื้นฟูเจ้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิม”
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้ม “ไม่มีความจำเป็นต้องคิดหรอก นั่นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสี่ยวหว่าน”
ชายหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ “อายุอานามเจ้ามากกว่าเมิ่งหว่าน น่าจะเข้าสำนักก่อนนาง และมีวรยุทธ์สูงกว่าใช่หรือไม่?”
“เจ้าเป็นตัวเลือกแรกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในการเข้าร่วมทดสอบจันทรากายในตอนนั้นใช่หรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้าอย่างเปิดเผย “ไม่ผิดหรอก ก่อนที่ข้าจะออกจากสำนักก็อยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว เสี่ยวหว่านตอนนั้นยังอยู่แค่ขั้นประจักษ์กายา”
“นางน่าจะเพิ่งบรรลุระดับปรมาจารย์อย่างฉิวเฉียดในคืนก่อนการทดสอบจันทรากายครั้งแรก”
นางมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใยดีนักว่า “ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ข้าหลงเข้าไปในพื้นที่อันตรายอย่างอเวจี ทำให้จันทรากายสูญสลายไป นั่นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเสี่ยวหว่าน”
เยี่ยนจ้าวเกอพลันหัวเราะร่วน “นางกับเจ้าอาจจะมีความผูกพันลึกซึ้ง แต่ครั้งนี้ที่นางหลอกล่อข้าให้มาช่วยเจ้า ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามาจากความรู้สึกผิดและต้องการชดเชยกระมัง?”
“หรืออาจจะเป็นเพราะในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จึงแสดงความเมตตาผ่านการช่วยเหลือเจ้า เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกพึงพอใจก็เป็นได้”
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มอีกครั้ง “ข้าไม่ถนัดคิดร้ายกับผู้อื่น แต่ข้าก็ไม่ปฏิเสธ มันอาจจะมีความเป็นไปได้อย่างที่ท่านกล่าวมา”
“เพียงแต่ข้าเชื่อในตัวเสี่ยวหว่าน” ประโยคสุดท้ายนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงเด็ดขาด
เยี่ยนจ้าวเกอผุดยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “แต่นางก็มั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางที่จะฟื้นคืนจันทรากายด้วยหรือ?”
“นางแน่ใจหรือว่าตนเองไม่ได้มอบสตรีจันทราคนหนึ่งให้กับเขากว่างเฉิง แล้วภายภาคหน้าจะมาแย่งชิงมงกุฎจันทรากับนาง?”
“นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการสร้างศัตรู แต่นางกลับทำลงไปได้”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “เพราะนางมีความมั่นใจ”
“ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นจะมีสตรีจันทราเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนก็ตาม”
“เสี่ยวหว่านก็มีความมั่นใจที่จะชนะเอามงกุฎจันทรากลับคืนให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้”
“ฉะนั้นแม้ข้าจะฟื้นพลังคืนมาได้ นางก็มีแต่จะดีใจกับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าจะได้รับความสำคัญจากเขากว่างเฉิงมากยิ่งขึ้น”
“แต่มงกุฎจันทราถือว่าเป็นของนาง เป็นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
“นี่ก็คือความมั่นใจของนาง”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ในสมองพลันมีภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางมีรูปร่างบอบบาง พร้อมด้วยดวงตาสะกิดใจคนให้เกิดความเมตตาเอ็นดูคู่หนึ่ง
ท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับชัยชนะในการทดสอบจันทรากายในครั้งแรก และเป็นเจ้าของมงกุฎจันทราคนแรกอย่างเป็นทางการหลังจากที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนโลก ก็คือเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!
จากการคาดเดาของเฟิงอวิ๋นเซิง นางในตอนนั้นเพิ่งจะย่างเข้าสู่ระดับปรมาจารย์หมาดๆ
ดวงตาทั้งสองของเฟิงอวิ๋นเซิงกำลังเหม่อลอย คล้ายกับหวนนึกถึงความทรงจำ “อย่ามองว่าเด็กคนนั้นรูปลักษณ์ภายนอกดูบอบบางอ่อนแอ แท้จริงนางทั้งฉลาดและเข้มแข็งมาก”
“ไม่ว่าจะเป็นพลังจันทราในร่างกาย หรือจะเป็นพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเยี่ยมทั้งสิ้น”
“ตอนนั้นเป็นเพราะข้าเข้าสำนักก่อน ฝึกฝนวรยุทธ์มานานกว่านาง จึงได้เป็นตัวเลือกแรก”
“แต่หากเริ่มต้นจากจุดเดียว ออกเดินทางพร้อมกัน ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเหนือกว่านางได้”
ครู่หนึ่งเยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะออกมา “คำกล่าวนี้ก็คือ เมิ่งหว่านก็ไม่มีความความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ไม่ใช่หรือ?”
เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว “ข้าไม่หลงระเริงอวดเบ่งตัวเอง แต่ก็ไม่ดูถูกตัวเองหรอกนะ”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดเรียบๆ ว่า “น่าเสียดายที่ครั้งที่สองเมิ่งหว่านพลาดท่าไป”
การทดสอบจันทรากายครั้งที่สอง เมิ่งหว่านวางหมากพลาดไปตัวหนึ่ง ทำให้มงกุฎจันทราจึงตกไปอยู่ในมือของศิษย์เมืองทะเลมรกตแห่งวารีพิภพ
สีหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง “เรื่องนั้นข้าได้ยินมาแล้วเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าก่อนการทดสอบไม่นาน เสี่ยวหว่านเพิ่งจะฝืนขับเคลื่อนมงกุฎจันทรา เข้าปะทะกับราชาราชาปีศาจอัคคีตนหนึ่งที่ทะเลตะวันออก”
“การทดสอบครั้งที่สองนี้ นางจึงออกสู้ทั้งที่ยังบาดเจ็บ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี