กงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต ต่างก็เป็นอาวุธที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาอาวุธวิญญาณระดับล่าง
หากไม่ได้มีฐานะทางตระกูลเช่นเดียวกับเซียวเซิงหรือเยี่ยนจ้าวเกอ จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์น้อยคนนักที่จะสามารถมีอาวุธวิญญาณระดับล่างเอาไว้ครอบครอง
ส่วนอาวุธวิญญาณระดับกลาง แน่นอนว่าบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอและท่านตาของเซียวเซิงล้วนมีเหลือเฟือ
ทว่าด้วยวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงในขณะนี้ ลำพังแค่ขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างก็ถึงขีดจำกัดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็สามารถใช้พลังของมันได้อย่างจำกัด
ส่วนอาวุธเช่นมงกุฎจันทรา อันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนได้นั้น ปัจจุบันในโลกแปดพิภพมีอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียว
อย่าว่าแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่นเลย แค่อาวุธวิญญาณระดับสูงหรืออาวุธวิญญาณระดับกลาง หากจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เป็นผู้ขับเคลื่อน ก็ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบรับ
เพราะจิตวิญญาณของอาวุธวิญญาณแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิเศษมากนัก
ฉะนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงจึงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอเก็บกงจักรเพลิงสุริยะด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
อาวุธมีวิญญาณความคิดที่เป็นอิสระ หากผู้ใช้ไม่ใช่มหาปรมาจารย์ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนเจ้าของผู้ใช้งานได้ง่ายๆ
กงจักรเพลิงสุริยะเพียงแค่ถูกกระบี่วิญญาณมังกรมรกตตรึงเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เพราะยอมก้มหัวให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ
หากไม่ใช่เพราะกระบี่วิญญาณมังกรมรกตมังกรตรึงเอาไว้ กงจักรเพลิงสุริยะก็คงบินตามเซียวเซิงผู้เป็นเจ้าของไปนานแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีโอกาสที่จะสะกดกงจักรเพลิงสุริยะเอาไว้ชั่วคราว แต่นั่นเท่ากับว่ากระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็ต้องกลายเป็นแม่กุญแจที่ใช้ตรึงกงจักรเพลิงสุริยะด้วย
อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นสกัดรั้งซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ อย่าว่าแต่กงจักรเพลิงสุริยะเลย กระทั่งกระบี่วิญญาณมังกรมรกต เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สามารถใช้ได้
เพราะนั่นอาจทำให้พลังทั่วร่างกายของเขาลดทอนลงมากทีเดียว
สำหรับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ อาวุธวิญญาณระดับล่างมีความหมายเหมือนกับอาวุธวิเศษสำหรับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย
ยึดได้ก็ต้องยึดเป็นธรรมดา แต่หากครั้งหน้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอีก ก็คงต้องรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เอ๊ะ?” เฟิงอวิ๋นเซิงมึนงงไปเล็กน้อย ทันทีที่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาอยู่เบื้องหน้ากงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต จากนั้นก็ยื่นมือทั้งสองออกไปจับอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นไว้
กงจักรเพลิงสุริยะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนระเบิดลมปราณอันบ้าคลั่งออกมา วินาทีนั้นเหมือนกับมหาปรมาจารย์ที่หลับใหลอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
กระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็เป็นเช่นเดียวกัน อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นมองดูแล้วเหมือนกับจะต่อสู้กัน ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่บรรดาผู้ที่ชมอยู่ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้
เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือทั้งสองข้างแตะมันเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วทั้งสิบประคองเอาไว้ แล้วเคาะบนอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะที่แปลกประหลาด
กระบี่วิญญาณมังกรมรกตและกงจักรเพลิงสุริยะพลันสั่นไหวขึ้นเบาๆ อีกครั้ง
ความประหลาดฉายชัดขึ้นในดวงตาทั้งสองของเยี่ยนจ้าวเกอ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเข้าไปในโลกอีกมิติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกมิตินั้นมีพระอาทิตย์ดวงโตลอยอยู่กลางฟ้า และมีมังกรสีเขียวมรกตตัวหนึ่งกำลังบินวนไม่หยุด
อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นค่อยๆ สงบลงพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง จากการเคาะนิ้วทั้งสิบไม่หยุดของเยี่ยนจ้าวเกอ
ไม่ใช่เพราะการสกัดรั้งระหว่างอาวุธวิญญาณหายไป ทว่าเป็นการสงบและยุติลงชั่วคราวพร้อมกันอย่างแท้จริง
เฟิงอวิ๋นเซิงอ้าปากค้างเล็กน้อย ‘ทำให้กงจักรเพลิงสุริยะสงบลงได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไรกัน?’
‘ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!’
เมื่อหลุดออกจากภวังค์ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เอ่ยปากชมไม่หยุด “เมื่อก่อนแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาอยู่บ้าง แต่วันนี้ได้เห็นเอง ถึงได้รู้ว่าคำร่ำลือไม่ได้เยินยอเกินจริงเลย แต่กลับปกปิดความจริงมากเกินไปต่างหาก”
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คำพูดนี้ ข้าได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งได้รู้ซึ้งก็วันนี้”
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นลง แล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “ข้าผู้นี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือไม่โอ้อวดนี่แหละ”
“ฉะนั้นต่อไปเจ้าจะค่อยๆ พบว่า ความคิดของเจ้าในวันนี้ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด”
เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะพลางหัวเราะ “ดี ข้าจะรอดู”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง”
เฟิงอวิ๋นเซิงชายตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่สบอารมณ์นัก “แต่ก็ไม่เคยพบเห็นใครที่เก่งเกินจริงเช่นท่าน บรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางภายในหนึ่งเดือน ยังไม่มีใครในประวัติศาสตร์ทำได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอยักคิ้วครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เพราะเช่นนั้นข้าถึงได้กล่าวมาตลอดอย่างไรเล่า ว่าข้าคนนี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือการไม่ทำตัวโอ้อวดผู้อื่น”
พูดๆ อยู่เยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนเรื่อง “จะว่าไป ที่ข้ากับเจ้าได้พบกัน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ”
เฟิงอวิ๋นเซิงสะดุ้ง
ชายหนุ่มมองนาง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “เดิมที่ข้ากำลังตามหาเมิ่งหว่านอยู่”
“อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น นางเป็นสตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง การคิดหาวิธีทำให้นางไม่สามารถชนะการทดสอบจันทรากายก็เป็นเรื่องปกติ”
เขาลูบคางของตนเอง “ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว คนของข้าสะกดรอยตามนาง นางเองก็รู้ตัว คอยหลอกล่อตลอดทางให้ข้ามาถึงที่นี่”
“ข้าก็ว่า เมิ่งหว่านที่ไม่ยอมก้าวออกจากประตูสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆ เหตุใดครั้งนี้ถึงได้มีท่าทีผิดแผกไป ไม่มีเหตุผลจริงๆ ด้วยสินะ”
แววตาของเฟิงอวิ๋นเซิงโอนอ่อนลงมาก “เสี่ยวหว่านทำเพื่อช่วยข้า ท่านอาจารย์จากไปแล้ว นางรู้ว่าเซียวเซิงออกจากสำนักมาด้วยตนเองเพื่อมาตามแก้แค้นข้า ดังนั้นจึงออกมาหวังว่าจะพอเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง”
“ที่นางหลอกล่อให้ท่านมา คิดว่าคงหวังให้เขากว่างเฉิงรับข้าไว้ และช่วยคุ้มครองข้าได้ วิธีนี้นางเองก็ไม่ต้องออกหน้า และไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า “พวกเจ้ามีอาจารย์คนเดียวกันหรือ?”
เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ แต่ตอนนั้นเราเป็นสตรีจันทราเหมือนกัน จำเป็นต้องรับการสั่งสอนและการฝึกฝนมากมายเช่นเดียวกัน จึงได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ”
………………..
[1] ศิษย์ปิดสำนัก คือ ศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์คนหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี