จ้าวเฉิงมองจ้าวฮ่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ฝ่ายจ้าวฮ่าวก็กวาดตามองเขาครั้งหนึ่ง พลางฉีกยิ้มและส่ายหน้า
เห็นๆ กันอยู่ว่าจ้าวเฉิงเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์แล้ว จะจัดการเขาที่ยังอยู่เพียงระดับหลอมกาย ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเลยด้วยซ้ำ
ทว่าในแววตาของจ้าวฮ่าวไม่มีความระแวงหรือความหวาดกลัวเลยสักนิด มีเพียงความนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
ในความนิ่งเฉยนั้น ปรากฏความไม่สนใจใยดีปะปนอยู่ด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘แววตาที่เขามองจ้าวเฉิง ไม่ต่างอะไรกับแววตาที่ใช้มองข้าเลย… ’
‘ในสายตาของเขา ข้ากับจ้าวเฉิงอยู่ในระดับเดียวกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอพลันแสยะยิ้ม
จ้าวฮ่าวกล่าวถามอย่างเฉยเมยว่า “พี่สามอยากให้ข้าดื่มเหล้าโทษทัณฑ์อะไรหรือ”
จ้าวเฉิงแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “น้องสิบหกช่วงนี้วรยุทธ์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงก็ยังคงน้อยอยู่”
“คนพวกนี้ของพี่สาม ช่วยน้องสิบหกฝึกซ้อมได้พอดิบพอดีเลย”
“สั่งสมประสบการณ์ให้มากหน่อย หากเจ้าเอาแต่ลงไม้ลงมือกับลูกน้อยเช่นนี้ ครั้นเจอศัตรูผู้เก่งกาจตัวจริงเข้า คนที่ซวยจะเป็นเจ้าเองนะ”
แววตาเหยียดหยามในดวงตาของจ้าวฮ่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขามองจ้าวเฉิงราวกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กไม่รู้ความที่กำลังเล่นเสียงดังอยู่
เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความ พลันชักกระบี่ออกจากฝัก ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ “ผู้ใดต้องการโดนสั่งสอน”
ในสายตาของผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นความนัยมากกว่านั้น
หากมองจากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ พลังที่จ้าวฮ่าวแผ่ออกมาเปลี่ยนไปทันทีที่เขาชักกระบี่ออกมา
พลังนั้นแข็งกร้าว โหมกระหน่ำ และเฉียบคมอย่างชัดเจน!
ทั่วทั้งร่างของเขาเสมือนกับกระบี่คมกริบที่เพิ่งชักออกมาจากฝัก เตรียมจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ฟาดฟันทุกสิ่งให้ขาดสะบั้น
นี่เป็นพลังบริสุทธิ์รูปแบบหนึ่ง ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูด ทว่าก็มีอยู่จริง
จ้าวฮ่าวในตอนนี้ยังคงเป็นจอมยุทธ์ระดับหลอมกายไม่ผิดแน่ เขาไม่ได้ซ่อนเร้นพลังความสามารถในระดับที่สูงกว่านั้นเอาไว้แต่อย่างใด แต่พลังของเขากลับเหมือนอยู่เหนือกว่าคนส่วนมากบนโลกใบนี้
ราวกับมีปรมาจารย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ไม่คู่ควรให้ผู้ใดเอ่ยถึง
คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุก ‘น่าสนใจ หรือว่า…’
แม้ว่าจ้าวเฉิงอยากจะเล่นงานจ้าวฮ่าวให้เจียนตายด้วยมือของตนใจจะขาด ทว่าอย่างไรเสียเขาก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว อายุอานามก็มากกว่าจ้าวฮ่าวสิบกว่าปี
ถึงพฤติกรรมของจ้าวฮ่าวจะไร้ความนอบน้อมอย่างมาก ทว่าต่อหน้าธารกำนัล อีกทั้งยังมีเยี่ยนจ้าวเกออยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย จ้าวเฉิงจึงยับยั้งความคิดที่จะลงมือด้วยตนเองไป
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยจ้าวฮ่าวไปง่ายๆ
วรยุทธ์ของจ้าวฮ่าวอยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นแปด ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลาง แม้ว่าคู่ต่อสู้ที่จ้าวเฉิงหามาให้เขาจะอยู่ในขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเช่นกัน ทว่าก็มีกลิ่นอายดุดัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าใช้ชีวิตอยู่ด้วยการฆ่าฟัน คมดาบอาบโลหิตมาจนชินชา ประสบการณ์มากมายเหลือเฟือจนเทียบไม่ได้
ไอสังหารทั่วทั้งร่างกายหนาแน่นจนแทบจะทำให้คู่ต่อสู้ที่ประสบการณ์ไม่มากพอกลัวหัวหด กลายเป็นลูกแกะที่ยอมให้ฆ่าแกงแต่โดยดี
ทว่าจ้าวฮ่าวแทบไม่ต้องใช้แรง ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว!
เพียงฟาดกระบี่ลงแค่ครั้งเดียว แขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า!
ระดับความโหดเหี้ยมนี้ ทำให้ทุกคนต้องเบี่ยงสายตาตามไป
“บังอาจนัก! ” สีหน้าของจ้าวพลันอึมครึม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง นักดาบขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็ฝ่าผู้คนออกมา
นักดาบผู้นี้อยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นเก้า ขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย อีกทั้งยังห่างจากขั้นประจักษ์กายา ซึ่งเป็นขั้นที่สิบไม่มากนัก
จ้าวฮ่าวกลับมีท่าทีไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด จากนั้นโจมตีด้วยกระบี่พลางยิ้ม “ก็เหมือนๆ กันหมด”
ผลการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้ตกตะลึงไปตามๆ กันอีกครั้ง
ผู้ชนะยังคงเป็น จ้าวฮ่าว!
เขาหัวเราะเสียง ‘หึ’ ครั้งหนึ่ง “คนต่อไปจะเป็นขั้นประจักษ์กายา หรือว่าพี่สามจะลงสนามด้วยตัวเอง”
ในขณะที่กล่าว ทั่วทั้งร่างของเขาเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ จากนั้นก็เป็นเสียงอึมครึมของสายฟ้าดังขึ้นแผ่วเบา
เสียงฟ้าผ่าไม่ได้ดังจากข้างนอก ทว่าดังออกมาจากภายในร่างกายของจ้าวฮ่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี