เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าเปลี่ยนแปลง เรียกวังฝูงมังกรออกมา ส่งอาหู่เข้าไปด้านในก่อนทันที
เฟิงอวิ๋นเซิงฝืนดันดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกของตนกลับลงไปในฝัก แสงสว่างสีฟ้าในดวงตาสองข้างหายไป จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในวังฝูงมังกร
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสเสียงถามอาหู่
เมื่อมาอยู่ในวังฝูงมังกร อาหู่เหมือนได้สติกลับมา สายตากระจ่างใสเช่นเดิม
ทว่าเขายังคงสับสนกับความรู้สึกเมื่อครู่ “ไม่มีความรู้สึกพิเศษใด เหมือนกับบางครั้งที่คิดอะไรบางอย่างจนเพลิน หรือไม่ก็เหมือนรู้สึกง่วงเหงาแล้วงีบสักพัก”
เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่มีความรู้สึกผิดปกติที่แจ่มชัด แค่เพียงเหม่อไปเล็กน้อย ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกกลับเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาแทน”
“แต่ต้องมีปัญหาแน่ ไม่อย่างนั้นดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกคงไม่เกิดเค้าลางปกป้องเจ้าของเช่นนี้”
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เก็บวังฝูงมังกร แล้วสำรวจรอบๆ อย่างตั้งใจ
ด้านในเส้นทางที่นำไปสู่สุสานอันมืดสลัว ดูเหมือนยังคงไม่มีสิ่งผิดปกติใดให้พูดถึง
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ให้ความรู้สึกพิกลอยู่บ้าง
จอมยุทธ์สำนักความมืดที่อยู่ด้านข้าง ต่างอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น จะมากจะน้อยก็สัมผัสถึงความไม่ธรรมดาได้
โดยเฉพาะโจวฮ่าวเซิง เจ้าสำนักความมืดยังมีสีหน้ายิ่งเคร่งขรึม “ไม่ถูกต้องนัก ทั้งหมดระวังไว้ด้วย”
เขาปล่อยญาณจริงแท้ออกมาจากจุดลมปราณทั่วร่าง ประกอบกันเป็นไอสีดำชั้นหนึ่ง มืดสลัวเหมือนกับม่านราตรีมาถึง กั้นแสงที่อยู่รอบๆ เอาไว้
ทุกคนเดินไปอีกพักหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ตั้งสมาธิสำรวจรอบๆ แต่รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า จิตใจของตัวเองเหมือนกับเข้าไปติดอยู่ในแสงสว่างที่มืดสลัวนั้น ยากจะถอนตัวออกมาได้
เขาระวังตัว ยิ่งเตรียมตัวป้องกันเท่าไร จิตใจยิ่งวอกแวกได้ง่ายเท่านั้น
ความจริงนี่เป็นผนึกพิทักษ์สุสานชนิดหนึ่ง ทำร้ายคนอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ผู้คนโดนเล่นงานอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
และยิ่งเข้าไปในสุสานลึกเท่าไร ผนึกพิทักษ์สุสานที่แปลกประหลาดนี้ก็ส่งผลรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูแสงสลัวนั้น เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว ‘การอยู่ข้างในจะค่อยๆ ถูกแสงที่มืดสลัวนี้เปลี่ยนให้กลายเป็นพวกเดียวกัน สูญเสียสติสัมปัชชัญญะของตัวเอง กลายเป็นเลอะเลือน
‘ผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่เหมือนกับศพเดินได้ หุ่นเชิดที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นต่างเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เอง’
เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเริ่มสงบนิ่ง ลึกล้ำมัวซัว พร่าเลือนยิ่งกว่าแสงที่มืดสลัวเบื้องหน้าเสียอีก
เขาโคจรเคล็ดวิชาในคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัด ดูจากภายนอกแล้วไม่มีสิงใดแตกต่างจากเดิม แต่ว่าภายในคนคล้ายกับแปลงร่างกลายเป็นความขมุกขมัว กั้นผลของแสงมืดสลัวนั้นไว้ด้านนอก
หลังจากมุ่งหน้าต่อไป ก็เริ่มมียอดฝีมือสำนักความมืดแตกขบวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ดีที่พวกโจวฮ่าวเซิงที่เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดยังคงรักษาสติไว้ได้ คอยสังเกตสภาพของศิษย์ร่วมสำนักของตนตลอดเวลา
ขณะเห็นพลังแห่งผนึกที่ยิ่งมายิ่งส่งผลมากขึ้น โจวฮ่าวเซิงก็ถอนใจคำหนึ่ง
เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ธงยาวสีดำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขณะที่โบกมัน แสงสีดำหลายสายก็สาดลงด้นล่างดุจผ้าไหม
แสงที่มืดสลัวด้านในทางเดินสุสานพลันถูกกั้นไว้ด้านนอกมากกว่าครึ่ง จอมยุทธ์สำนักความมืดต่างได้สติ สีหน้าสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีและหวาดกลัวออกมา
เยี่ยนจ้าวเกอมองธงยาวที่เหมือนทั้งธงทั้งหอกในมือของโจวฮ่าวเซิงอย่างสนอกสนใจ
สำนักความมืดไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองสำนัก แต่ธงวิญญาณ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางมีคุณสมบัติค่อนข้างโดดเด่น มีประโยชน์มากมาย นับได้ว่าเป็นยอดของวิเศษ ทุกครั้งเจ้าสำนักจะเป็นคนใช้
ธงสีดำเบื้องหน้านี้ สมควรเป็นธงวิญญาณแล้ว
โจวฮ่าวเซิงในตอนนี้หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ เมื่อเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็อดอึ้งไปเล็กน้อยไม่ได้
หากตัดเฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่ที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์สองคนไปแล้ว คนที่มีระดับพลังฝึกปรือต่ำที่สุดในกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ คือเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้น
เยี่ยนเจ้าเกอมีพลังน่าทึ่ง เหนือกว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว ปัจจุบันเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับจากคนทุกคน
ทว่าการอยู่ในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬโดยที่ยังผ่อนคลายถึงเพียงนี้ กลับทำให้พวกโจวฮ่าวเซิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี