หลังจากแสงสลายหายไป เยี่ยนจ้าวเกอก็มองโลกตรงหน้าอย่างละเอียด
โลกที่ทุกคนอยู่ในตอนนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง เส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปแบ่งเขตแดน เป็นสีขาวดำชัดเจน
พื้นดินที่อยู่ข้างใต้เปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้คนมองไม่เห็นลักษณะที่แท้จริง
ท้องฟ้าเหนือศีรษะเป็นความมืดผืนหนึ่ง มาตรว่าผืนดินเบื้องล่างจะมีประกายแสงสาดส่อง ก็ยังคงเป็นสีดำขลับอยู่เช่นเดิม
ระหว่างฟ้าดินจะเห็นลำแสงที่ลวดลายอาคมประกอบกันขึ้นมาได้หลายสาย เหมือนกับโซ่ตรวนหลายเส้น เชื่อมความมืดเบื้องบนกับแสงสว่างเบื้องล่างไว้ด้วยกัน
กลิ่นอายที่หมองหม่นไม่แน่ชัดซึ่งวนเวียนอยู่รอบๆ โซ่ตรวนลวดลายอาคมเหล่านั้น ประกอบกันเป็นสิ่งกีดขวางชั้นหนึ่ง เหมือนกับด้ายบางหลายเส้น
เยี่ยนจ้าวเกอรู้ว่า นั่นเป็นผนึกจากวิชาลับมากมายที่ปกป้องสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้คนนอกรุกล้ำเข้าไปด้วย
เขาหันไปมองสุสานขนาดยักษ์ตรงหน้าตั้งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ผนึกรอบนอกปกป้องที่นี่เอาไว้นั่นเอง
พวกตนเนื่องจากว่าครอบครองของวิเศษ ข้ามผนึกจำนวนมากที่อยู่รอบๆ มาโดยตรง จึงมาถึงบริเวณใกล้ๆ สุสาน
มองจากด้านนอกเข้าไป สุสานของจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยเหมือนกับแท่นบูชาขนาดมหึมาแท่นหนึ่ง
ผิวของแท่นบูชามีแสงหมุนเวียน แต่กลับไม่สว่าง ให้ความรู้สึกมืดมัวแก่ผู้คน
ท้องฟ้าสลัวและพื้นดินแสงสว่าง เหมือนกับผสมกัน เกิดเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นี้
บนผิวของแท่นบูชาสามารถมองเห็นคำจารึกที่นูนขึ้นมา ซึ่งคล้ายกับกาลเวลาที่จับตัวกันได้
พวกโจวฮ่าวเซิงพากันกราบกรานสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ปากสรรเสริญอยู่เงียบๆ
ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง ครั้งนี้เสียงถึงกับสั่นระริกเล็กน้อย ยากจะสะกดความตื้นตันใจ
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจถึงการแสดงออกเช่นนี้ดี คนที่หลับไหลอยู่ที่นี่ คือหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักประกายกาฬ บางครั้งถึงขนาดตัดคำว่า ‘หนึ่งใน’ ทิ้งไปได้ด้วยซ้ำ
ด้านในสำนักประกายกาฬ นอกจากปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักแล้ว เกรงว่าไม่มีใครเทียบเคียงกับจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยได้อีก
และไม่ว่าจะเป็นพลังส่วนตัว หรือเกียรติภูมิโดยรวมของสำนักประกายกาฬ อิ่นเทียนเซี่ยก็เป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ ก้าวข้ามบรรพบุรุษทั้งหมดอยางไม่ต้องสงสัย
เพราะวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ วิชาและระบบความคิดนับไม่ถ้วน สำนักประกายกาฬกลับเดินไปสู่จุดสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้การนำของอิ่นเทียนเซี่ย
ยิ่งอดีตเคยรุ่งโรจน์เท่าไร จอมยุทธ์สำนักความมืดที่อยู่ในช่วงตกต่ำอย่างตอนนี้ ก็ยิ่งนับถือและคนึงหายุคสมัยนั้นมากขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และอาหู่ เมื่อเข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ต่างคำนับสุสานอย่างจริงใจ
หลังจากเข้าไปในสุสานของคนรุ่นก่อน อาจจะได้ของวิเศษและวาสนาจากด้านใน นี่เป็นเรื่องที่สมควร
พวกโจวฮ่าวเซิงหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างล้ำลึก
เยี่ยนจ้าวเกอดูออกว่า พวกเขาไม่อยากจะให้พวกตนที่ไม่ได้รับการสืบทอดจากสำนักประกายกาฬเข้าไปในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ
ครั้งนี้ เหมือนเพราะการเข้าใกล้ของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ในสุสานจึงมีเสียงดังขึ้น
โจวฮ่าวเซิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่มีเวลาสนใจพวกเยี่ยนจ้าวเกอเอง รีบร้อนหันไปมอง
เขาเห็นบนสุสานที่เหมือนกับแท่นบูชาถึงกับมีเงาแสงจำนวนมากปรากฏขึ้น
เงาแสงเหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ ร่างครึ่งดำครึ่งขาว แสงกับความมืดตัดกัน ปรากฏความพิสดารอยู่หลายส่วน
พวกเยี่ยนจ้าวเกอสามคนตั้งใจมอง พบว่าดวงตาของคนเหล่านี้แข็งค้าง ใบหน้าไร้อารมณ์ ดูไร้ชีวิตราวกับหุ่นเชิด
แต่บนร่างของเงาคนที่แปลกประหลาดเหล่านี้ กลับมีลมปราณของจอมยุทธ์ที่โชติช่วงลอยมา
นี่หมายความว่า ความจริงพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ แต่กลับเหมือนคนตายที่สูญสิ้นสติสัมปัชชัญญะ
“วิญญาณพิทักษ์สุสานหรือ? แต่ในตอนนั้นจักรพรรดิประกายกาฬไม่ได้พาคนมาฝังด้วยนี่” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปมองมา สีหน้าค่อยๆ พิกลขึ้น “หรือก่อนหน้านี้จะมีคนเข้ามาในสุสาน หมายตามหาของล้ำค่า สุดท้ายตายเพราะผนึกคุ้มครองสุสาน แล้วถูกผูกมัดเป็นทาสรับใช้? แต่ว่า…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี