ประมุขอิสานหลิวเจิงกู่หลังจากพบกับประมุขอาคเนย์เฉาเจี่ยเสร็จแล้ว ก็บอกลาแล้วกลับเขตสารทอิสาน
ส่วนพวกเยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าพบประมุขแผ่นดินผู้ควบคุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ผู้นี้อีกครั้ง
เฉาเจี่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเป็นประโยคแรกในตอนที่พบกันว่า “ท่านเคยไปยังโลกที่ศาสนาพุทธเป็นผู้ปกครองมาก่อน แต่จำเป็นต้องระวังไว้ให้ดี อย่าบอกคนอื่นเด็ดขาด”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ข้าทราบดี”
เฉาเจี่ยมองเยี่ยนจ้าวเกอ เนิ่นนานให้หลังก็โพล่งขึ้น “เรื่องของมารดาท่าน ข้าทราบแล้ว”
ชายหนุ่มช้อนตามองประมุขอาคเนย์ที่อยู่ตรงหน้า ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวสืบต่อว่า “ข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิประกายกาฬเหลืออะไรเอาไว้กันแน่ แต่ถ้าหากมีสิ่งของจริงๆ การได้มาใช่ว่าจะเป็นโชค ท่านต้องมั่นใจด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ประหลาดใจที่อีกฝ่ายทราบว่าตนได้สิ่งของมาจากในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ
สำนักความมืดเกือบถูกฆราวาสเด็ดดาวกวนลี่เต๋อล้างสำนัก สำนักแสงสว่างยังถูกราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องบดขยี้ โดนทำลายที่อยู่บนผาตะวันจันทราทิ้ง
สองสำนักนี้ต่อให้ได้สมบัติจากในสุสานจักรพรรดิ ก็เห็นได้ชัดว่าได้มาไม่มากนัก
แต่ยามที่ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอได้เข้าไปในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ จึงคาดเดาว่าชายหนุ่มอาจจะได้สิ่งของจากด้านในมา ถือเป็นเรื่องปกติ
‘สำนักความมืดแจ้งข่าวหรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ
สำนักความมืดเพียงทราบถึงการคงอยู่ของตะเกียงประกายกาฬเท่านั้น ไม่ได้เห็นกงจักรมหาประกายกาฬ
ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่กล้ายืนยัน ว่าเยี่ยนจ้าวเกอได้สมบัติมหาศาลจากในสุสานจักรพรรดิ หรือว่าจะไม่ได้อะไรเลยเหมือนพวกเขาและสำนักแสงสว่าง
แน่นอนว่าสำนักความมืดที่ให้ความสนใจกับการต่อสู้ทำลายสำนักแสงสว่างบนดินแดนจิตคุณธรรม ก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่เห็นตะเกียงประกายกาฬ
เยี่ยนจ้าวเกอมองเฉาเจี่ยอย่างสงบนิ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสพูดมีเหตุผล”
เฉาเจี่ยพูดเพียงครั้งเดียวจบ ไม่ได้พูดถึงประเด็นเดิมต่อ แต่กล่าวต่อว่า “นอกจากเขตมหานภากลางซึ่งเป็นที่อยู่ของเขาคุนหลุนแล้ว เขตสุราลัยบูรพา เขตฟ้าสงัดพายัพและเขตกระฟ้าประจิม ต่างพยายามค้นหาที่อยู่ของมารดาท่านมาโดยตลอด”
“ในสถานที่เหล่านี้มีคนไม่น้อยที่เคยเห็นหน้าตาของมารดาท่าน”
เขาเอ่ยต่ออย่างราบเรียบ “พวกเขาไม่อาจเชื่อมโยงระหว่างพวกท่านสองแม่ลูกได้โดยไม่มีเบาะแส แต่ถ้าหากมีคนรู้ว่าท่านกำลังตามหานางอยู่ หรือมีความเกี่ยวข้องกับนาง เช่นนั้นการสังเกตถึงความเกี่ยวโยงของพวกท่านก็จะง่ายขึ้น”
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ในสถานที่อื่นๆ คนที่รู้จักมารดาของท่านมีอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เหมือนกับข้าและประมุขอิสาน”
“กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาดูแลมารดาของท่าน เพียงแต่ใช้ท่าทีปล่อยไปตามบุญตามกรรมเท่านั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้ยินก็เข้าใจถึงความนัยของเฉาเจี่ย
เฉาเจี่ยมีท่าทีปล่อยไปตามบุญตามกรรม ไม่ตามจับตัวอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ
คนอื่นสะกดรอยตามเสวี่ยชูฉิง ขอแค่พลังฝึกปรือไม่สูงเกินไป เฉาเจี่ยจะไม่ยุ่งเกี่ยว นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะก่อเรื่องในเขตตะวันอาคเนย์
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริงนี่ก็นับเป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่งแล้ว ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
การหลับตาข้างหนึ่งของพวกเฉาเจี่ย ถือเป็นการมอบความสะดวกสบายให้แก่เสวี่ยชูฉิงแล้ว
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ยอดฝีมือในระดับเดียวกันมาเหยียบถิ่นของตนตามอำเภอใจเด็ดขาด นี่เป็นการมอบพื้นที่ในการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ให้แก่เสวี่ยชูฉิง เพื่อใช้สำหรับซ่อนตัวและเคลื่อนย้าย
พวกหลิวเจิงกู่ที่เป็นคนจำนวนน้อยถึงขั้นยังลอบลงมือช่วยเหลืออีกด้วย
เฉาเจี่ยไม่แสดงท่าทีต่อการขอบคุณของเยี่ยนจ้าวเกอ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อจากนี้หากท่านจะเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก จงระวังตัวให้มาก”
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ขอเรียนถามท่านผู้อาวุโส นอกจากต้องรอเจอท่านแม่ของข้า แล้วค่อยให้นางบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังด้วยตัวนางเอง ข้ายังมีทางอื่นให้ศึกษาสถานการณ์หรือไม่ อืม…จะเรียกว่าเป็นการศึกษาสถานการณ์อย่างปลอดภัยก็ได้”
เฉาเจี่ยไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อการกล่าวเสริมเป็นประโยคสุดท้ายที่โลกราวกับงูกินช้างของเยี่ยนจ้าวเกอ
ตรงกันข้าม มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ อย่างหาได้ยาก “มี”
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึคึกคักฮึกเหิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี