มณีอินเดินวนไปมาอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วง ยามีนะ เมื่อมีเสียงรถจอดที่ประตูหน้าตึกหญิงสาวจึงรีบวิ่งไปดู จามาลมีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวจึงไม่กล้าที่จะถามเขาจึงเดินไปถามคนสนิทของเขาแทน “กาซิมคุณยามีนะเป็นยังไงบ้างจ้ะ” หญิงสาวกระซิบถามเบาๆ
“เอ่อ.....”
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วแต่ยังไม่ฟื้นเม่านั้น ฉันบอกเธอแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่งรีบทำงานของเธอให้เสร็จจะได้กลับประเทศของเธอเร็ว” จามาลหันมาตอบแทนกาซิม มณีอินเม้มปากแน่นเธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไร แต่คำพูดของชายหนุ่มเมื่อครู่ทำให้หญิงสาวแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ที่ฉันถามเพราะเป็นห่วงคุณยามีนะก็เท่านั้น ส่วนเรื่องงานคุณไม่ต้องห่วงเสร็จทันตามกำหนดแน่นนอนคุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าคุณจะสิ้นเปลืองไปมากกว่านี้” หญิงสาวพูดสะบัดเสียงใส่หน้าเขาอย่างน้อยใจ ชายหนุ่มมองตามหลังด้วยสายตาที่อยากจะอธิบายได้ ครู่ต่อมาหญิงสาวก็ลงมาพร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายภาพเป็นจังหวะเดียวกับที่มนัสเดินทางมาถึงพอดี
“เรารีบไปกันเถอะนะคะคุณมนัสเดี๋ยวเจ้าของเงินเขาจะโกรธเอาที่เราทำงานไม่เต็มที่” หญิงสาวดึงมือมนัสให้เดินตามออกมาด้วยความงงๆของเจ้าตัว
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณอิน” มนัสถาม
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะแค่ดิฉันจะรีบทำงานให้เสร็จได้รีบกลับเมืองไทย” หญิงสาวบอก
“เฮ้อ...ปากกับใจไม่ได้ตรงกันเลย” ชายหนุ่มพูดเบาๆ
“คุณว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวหันมาถาม
“เปล่าครับ ผมบอกว่าผมจะพาไปดูทะเลทรายที่ต้องสาป”
“ทะเลทรายที่ต้องสาป มันคืออะไรกันคะ” หญิงสาวถามอีก
“มันเป็นเรื่องเล่าที่เล่าขานกันมานานนะครับ ครั้งหนึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งรักกันมากแต่ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้พ่อ แม่ของทั้งสองฝ่ายกีดกัน ทั้งสองจึงหนีออกมาด้วยกัน จนกระทั่งฝ่ายหญิงเดินไม่ไว้ร่วมทั้งอากาศร้อนและน้ำที่เตรียมมาก็หมดจึงทำให้หญิงสาวสิ้นใจภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อเห็นหญิงสาวที่รักตายลงไปต่อหน้าหัวใจก็แทบแตกสลายจึงใช้มีดที่พกติดตัวมาด้วยกรีดที่ข้อมือของตนเอง และตั้งจิตอธิษฐานขอให้ร่างของเขาทั้งสองจงอย่าได้มีใครมาพรากจากกันและมันก็น่าแปลกที่ไม่มีใครหาร่างของทั้งสองพบเลยจนกระทั่งบัดนี้ แต่ถ้าคู่รักคู่ใดไปอธิษฐานขอให้รักสมหวังก็จะเป็นดังคำขอ คนส่วนใหญ่จะเรียกทะเลทรายแห่งนั้นว่าทะเลทรายคู่รัก พ่อ แม่ของทั้งสองฝ่ายได้สร้างวิหารขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงลูกทั้งสองและเป็นสัญลักษณ์แห่งรัก
นิรันดร์ด้วยนะครับ เดี๋ยวคุณอินจะได้เห็นมันสวยมากเลยนะครับ” ชายหนุ่มบอก
“ความรักแบบนั้นยังมีอยู่ในโลกอีกหรือคะ” หญิงสาวยิ้มหยัน
“มีซิครับเพียงแต่มีบางคนเท่านั้นที่รู้จักมัน” ชายหนุ่มบอกและหันมายิ้มให้ หญิงสาวยิ้มตอบและมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเมื่อออกมาจากตัวเมืองแล้วจะเป็นทะเลทรายสีเหลืองทองสุดลูกหูลูกตา รถที่ใช้จึงต้องใช้รถที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ
“ถึงแล้วครับ” ชายหนุ่มบอก มณีอินมองไปที่วิหารขนาดเล็กสีขาวที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ตัดกันอย่างเห็นได้ชัด หญิง
สาวก้าวลงมาอย่างช้าๆ และมองไปรอบๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ 2-3 ต้นที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ข้างวิหาร ด้านในวิหารมีรูปสลักของเทพเจ้าที่ชาวบ้านเคารพนับถือและด้านล่างสุดมีรูปสลักเท่าครึ่งหนึ่งของคนจริงๆเป็นรูปชายหญิงยืนจับมือกัน หญิงสาวคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นคู่หญิงสาวในตำนานที่มนัสเล่าให้เธอฟัง หญิงสาวรู้สึกคอแห้งขึ้นมาและหันไปเห็นโอ่งน้ำขนาดเล็กมีแก้วน้ำวางไว้บนฝาปิดเธอจึงเดินเข้าไปเปิดดูเห็นน้ำใสน่าดื่มจึงตักขึ้นมาดื่ม มนัสหันมาเห็นเข้าจึงร้องทักขึ้น
“คุณอินรู้เรื่องน้ำนั่นด้วยหรือครับ”
“น้ำทำไมคะ มันดื่มไม่ได้หรือคะ” หญิงสาวถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะเลทรายสีน้ำผึ้ง