มู่ซืออวี่กล่าวพลางเอื้อมมือขอกระเป๋าเงินจากคนตรงหน้า ลู่อี้จึงหยิบกระเป๋าเงินใบเก่าออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง
นางหยิบกระเป๋าขึ้นมาพลางใส่เหรียญอีแปะและเหรียญตำลึงเงินลงไป
กระเป๋าแบนเรียบถูกเติมเต็ม จึงหนักขึ้นในทันที เมื่อเขย่าก็ได้ยินเสียงกึกก้องน่าฟัง
มู่ซืออวี่ฟังเสียงเหรียญพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟังสิ นี่เสียงของเงินล่ะ ไพเราะยิ่งกว่าเสียงอื่นใด”
ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องหาเงินให้ได้มาก
ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ชายผู้นี้จะเป็นของครอบครัวอื่น แต่เงินที่เขาหาได้ทั้งหมดจะต้องเป็นของนาง
หลังจากกล่าวจบ นางจึงยื่นกระเป๋าเงินคืนให้เขา
“ข้า… ไปก่อน” ลู่อี้เก็บกระเป๋าเงินของเขา
มู่ซืออวี่เก็บกวาดจานชามที่เขากินทิ้งไว้พลางเอ่ยโดยไม่เงยหน้า “ไปเถิด”
น้ำเสียงของนางดูผ่อนคลาย ไร้ซึ่งความคิดถึงหรือห่วงใย
แววตาของลู่อี้พลันหม่นลง เขาลุกขึ้นยืนพลางทำเสียงงึมงำ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา นางก็รีบหันกลับมามองอย่างประหม่า
“เจ้าไม่สบายใช่หรือไม่? เมื่อคืนเราไม่ควรนอนด้วยกันเลย คงเป็นเพราะข้าแย่งผ้าห่มเจ้า เจ้าเลยเป็นหวัด”
ลู่อี้ “…”
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรเลยสักนิด นางเอาแต่สาธยายมากมายอยู่ฝ่ายเดียว แม้แต่ ‘สาเหตุ’ ของอาการไข้หวัดก็ได้รับการวินิจฉัยเสร็จสรรพ
“เท้าของข้าเป็นตะคริว” ลู่อี้พยุงโต๊ะเพื่อยืนขึ้น
“เท้าข้างไหน?” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเพียงเป็นตะคริว สีหน้าของนางก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“เอ่อ… เท้าขวา” ลู่อี้กล่าวพลางจ้องมองเท้าของตน
“เช่นนั้นจงยกมือซ้ายขึ้นก่อน” มู่ซืออวี่กล่าวระหว่างเข้าไปช่วยพยุง “ยกขึ้น ลองขยับสักนิด… รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่? ลองขยับเท้าของเจ้าดู”
ลู่อี้จ้องมองไปยังนาง
นางยกแขนของเขาด้วยมือข้างเดียว เนื่องจากความสูงของนางไม่อาจเทียบเคียงเขาได้จึงจำเป็นต้องเขย่งเท้า ท่าทางของนางทั้งน่าขันและน่าเอ็นดู
เขาพยายามแกว่งเท้าไปมาก่อนจะเหยียบเท้าลง
“อ๊ะ!” มู่ซืออวี่รีบเข้าไปพยุงเขาให้เอนกายลงบนเก้าอี้ ก่อนจะวางเท้าลงบนพื้น
ทั้งสองดูสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้แสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน ทั้งสองจ้องมองกันและกันอีกครั้ง
มู่ซืออวี่กลืนน้ำลาย เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ไม่” ลู่อี้แสร้งทำเป็นเดินลำบาก “ข้าปวดหัวนิด ๆ”
“เช่นนั้นก็นั่งลงก่อนเถิด”
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วน
ลู่อี้ยิ้มมุมปาก “ดีขึ้นแล้ว ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
มู่ซืออวี่จ้องมองชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงเหมือนคนปกติเดินออกไปโดยไม่ละสายตา ดวงตาของนางเบิกกว้าง
“เขา… เขา… เขาหลอกลวงข้า!”
เขาไม่ได้รู้สึกปวดหัวสักหน่อย!
นางถูกเขาหลอก
แล้วเหตุใดเขาต้องทำให้ทุกอย่างวุ่นวายด้วย!!!
เขาเป็นคนเย็นชา ใจร้าย และกระหายเลือดไม่ใช่หรือ?
“นี่เพิ่งจะเช้าตรู่ เจ้าไม่คิดจะให้ผู้ใดนอนพักผ่อนสักนิดหรือ?” ลู่เซวียนขยี้ตา ยืนอยู่หน้าประตูพลางกล่าวอย่างโกรธเคือง
“พี่ชายของเจ้าเดินทางไปทำงานแล้ว เหตุใดจึงยังหลับอยู่อีก? สันหลังยาวจริง!” มู่ซืออวี่ตะคอกอย่างเย็นชา
“โฮ่ เช่นนั้นข้าคงต้องไปนอนต่ออีกสักนิด น่าเสียดาย พี่ข้านอนกับเจ้าคืนเดียว ข้าก็เวทนาเขาจะแย่!” ลู่เซวียนกล่าวพลางหรี่ตาลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...