แควก!
ผู้ตรวจหนังสือฟางฉีกหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“นี่มันอะไรกัน? นอกจากการเจอผีผู้หญิงตอนกำลังเร่งรีบ ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ให้ได้อ่านบ้างเลยหรือ?”
“เคยได้รับการช่วยเหลือเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เมื่อโตขึ้นจึงคิดจะตามหาบุคคลผู้นั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ น่ารำคาญเสียจริง ป่านนี้บุคคลผู้นั้นไม่หัวล้านผมร่วงไปหมดแล้วหรือ?”
มู่ซืออวี่จ้องมองชายชราที่กำลังพึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เดิมทีเขาเป็นคนเข้มงวดและค่อนข้างเสียงดัง นางควรจะรู้สึกประหม่าเมื่อได้พบเขา ทว่ามู่ซืออวี่กลับรู้สึกเอ็นดูชายชราผู้นี้อย่างไร้เหตุผล
ชายผู้นั้นพามู่ซืออวี่เข้ามาและจากไป ขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากห้อง เขาก็มองนางทิ้งท้ายด้วยความปรารถนาดี
คนที่นำหนังสือมาส่งด้วยตนเองครั้งสุดท้ายถูกผู้ตรวจหนังสือฟางด่าทอจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อเขามองมู่ซืออวี่ก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ไม่คู่ควรแม้แต่จะอ่านหนังสือ นับประสาอะไรกับการเขียนหนังสือ
“เจ้า…” ชายชราพินิจมองมู่ซืออวี่ “มาส่งต้นฉยับอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” มู่ซืออวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หากงานเขียนของเจ้าไม่ได้เรื่อง ข้าจะฉีกทิ้งในทันที หากไม่ต้องการโดนข้าด่าทอก็จงออกไปเสียตอนนี้”
“ท่านอ่านอย่างละเอียดก่อนเถิด”
มู่ซืออวี่ยื่นหนังสือให้เขา
ผู้ตรวจหนังสือฟางตะคอกอย่างเย็นชาก่อนจะเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่านดู
เมื่อได้เริ่มอ่านเนื้อหา คิ้วที่เคยขมวดของเขาก็คลายออก ลมหายใจมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าต้องรอคอยอีกนานเพียงใด นางจึงมองไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินไปนั่ง
นางหันมองโดยรอบแล้วจึงหยิบ ‘หนังสือ’ ที่ถูกโยนลงบนพื้นขึ้นมา
อันที่จริงผลงานของนักเขียนผู้นี้ค่อนข้างดี แต่เหตุผลที่ผู้ตรวจหนังสือฟางฟังไม่ยอมรับอาจเป็นเพราะเนื้อหาหยาบคายเกินไป
ไม่แปลกใจที่นักเขียนมากมายขายผลงานของพวกเขาให้กับร้านหนังสือทั่วไป เพราะพวกเขาสันนิษฐานได้ว่าผลงานของตนจะไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ตรวจหนังสือฟาง และทุกอย่างจะจบลงเช่นเดียวกับผลงานนี้
“เนื้อหาของเรื่องนี้มีอีกมากน้อยเพียงใด?”
ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าผู้ตรวจหนังสือฟางหยุดอ่านหนังสือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้เขาจ้องมองมายังมู่ซืออวี่ด้วยแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความดุร้ายอย่างที่เคย
“ถูกเขียนไว้แล้วทั้งสิ้นสิบเล่ม ยังมีอีกเก้าเล่มที่กำลังจะตามมา” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ท่านชอบงานเขียนเรื่องนี้หรือไม่?”
“คนหนุ่มสองคนที่มีความบาดหมางในครอบครัวเลือกเส้นทางเดินที่แตกต่างกัน เรื่องราวของเจ้าแปลกใหม่ สอนใจผู้คนได้เป็นอย่างดี”
“แล้วท่านจะรับหรือไม่?”
“รับ”
“เอ่อ…”
“หากต้องการตีพิมพ์หนังสือพร้อมลงนามในหอหนังสือหงเหวิน ก่อนอื่นเจ้าต้องทราบกฎของเราก่อน กฎข้อที่หนึ่ง ระดับและคุณภาพของหนังสือแต่ละเล่มไม่ควรต่ำไปกว่านี้ กฎข้อที่สอง เจ้าต้องส่งงานเขียนให้ข้าตรงเวลา อย่าชักช้าแม้เพียงเสี้ยววินาที เว้นแต่จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำได้หรือไม่?”
“ทำได้แน่”
“กฎข้อที่สามสำคัญที่สุด หลังจากลงนามกับหอหนังสือหงเหวินของเราแล้ว งานเขียนนี้จะเป็นของเราโดยสมบูรณ์ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี เจ้าจะไม่สามารถขายให้กับผู้อื่นได้”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนสมัยก่อนจะให้ความสนใจกับปัญหาด้านลิขสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดยิ่ง
“หนังสือหนึ่งเล่มมีราคา 50 ตำลึง วันนี้ข้าจ่ายให้เจ้าเท่านี้ต่อหนึ่งเล่ม” ผู้ตรวจหนังสือฟางกล่าว “หลังจากที่ข้าลงนามในใบนี้แล้ว เจ้าก็สามารถนำไปรับเงินได้”
หลังจากออกจากหอหนังสือหงเหวิน มู่ซืออวี่ก็จ้องมองท้องฟ้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ”
มู่ซืออวี่เดินผ่านสายลมไปพร้อมเงินมากมายในอ้อมแขน
“น้องสะใภ้อวี่ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
“จริงหรือ?” มู่ต้าหนิวเอ่ยถามอย่างมีความสุข
มู่ซืออวี่ขอให้มู่ต้าหนิวพาไปยังร้านค้าต่าง ๆ เพราะหากได้สำรวจบริเวณโดยรอบ รวมถึงสินค้าที่พวกเขาค้าขายก็อาจทำให้นางมีความคิดแปลกใหม่ขึ้นมาได้
กิจการจัดเลี้ยงยังไม่ถือเป็นกิจการที่น่าจับตามอง เพราะไม่เพียงทำเงินได้ไม่มาก แต่ยังต้องจัดการหลายอย่างซึ่งทำให้เสียเวลา นางเป็นนักออกแบบข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดในอนาคตคือการพัฒนางานเดิมที่เคยเชี่ยวชาญ
งานเขียนหนังสือเป็นงานที่นางหามาให้กับลู่เซวียน เขาจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวัน
ในเวลาเที่ยง เกวียนวัวจอดอยู่นอกศาลาว่าการ มู่ซืออวี่และมู่ต้าหนิวจ้องมองไปยังประตูใหญ่เพื่อรอลู่อี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...