เอ้อร์โก่วร้องไห้โฮ ผู้เป็นย่าอย่างจงซื่อเห็นแล้วปวดใจ แต่นางไม่กล้าอาละวาดอีก
หัวหน้าหมู่บ้านมองนางด้วยสายตาคมกริบ
ตอนนี้ลู่อี้เป็นจู่ปู้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะกล้าล่วงเกินเขา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาต่างหาก
“เอาล่ะ ๆ รีบขอโทษเด็กเหล่านี้เถอะ!” หัวหน้าหมู่บ้านเร่ง
“ลูกชายข้าบอกแล้วว่าจะไม่รับคำขอโทษ ให้พวกเขาออกไปจากบ้านของพวกเราก็พอแล้ว อย่าทำให้บ้านของเราต้องแปดเปื้อน” มู่ซืออวี่พูดอย่างรังเกียจ
“รีบไปเร็ว ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านดึงเอ้อร์โก่วออกไปข้างนอก
จงซื่อต้องปกป้องเอ้อร์โก่วจึงเดินตามเขาออกไป
ถึงตอนนี้ สายตาที่ชาวบ้านใช้มองมู่ซืออวี่เปลี่ยนไปแล้ว
ลู่อี้เป็นจู่ปู้เชียวนะ! เช่นนั้นมู่ซืออวี่ผู้นี้ก็นับว่าเป็นฮูหยินของเจ้าหน้าที่ทางการแล้วใช่หรือไม่?
มู่ซืออวี่ปิดประตูบ้าน ปิดกั้นสายตาสอดรู้สอดเห็นจากข้างนอก
หลังจากประตูปิดลง นางก็ลูบอกตัวเองเบา ๆ แล้วยกนิ้วให้ลู่ฉาวอวี่ “ไอ้หนู แสดงเก่งใช่ย่อย”
นางเดินเข้าไปหาเขา “เจ้าทำอะไรกับหน้าของเจ้า? ไหนให้ข้าดูซิ”
ลู่ฉาวอวี่เห็นนางใกล้เข้ามาก็หลบไปด้านข้าง
ยิ่งเขาหลบ นางยิ่งอยากเห็นมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้แม่และลูกชายจึงวิ่งไล่จับกันอยู่ที่ลานบ้าน
โฮ่ง ๆ!
เสี่ยวเฮยกระดิกหางไปมา วิ่งไล่ตามหลังมู่ซืออวี่ กลายเป็นภาพสนุกสนานครึกครื้นขึ้นมาทันที
ลู่จื่ออวิ๋นคอยหัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง
สุดท้ายลู่ฉาวอวี่ก็ตกอยู่ในมือของมู่ซืออวี่ เด็กชายยอมจำนนต่อโชคชะตา หลับตาลงรอฟังเสียงหัวเราะของมู่ซืออวี่ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อ่อนนุ่มกำลังสัมผัสแก้มของเขา
ลู่ฉาวอวี่ลืมตาขึ้นมา เห็นเพียงสตรีที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มให้ พลางเช็ดแป้งฝุ่นออกจากใบหน้าของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า
ไม่ผิด เขาใช้แป้งและผงชาดของมู่ซืออวี่สร้างบาดแผลขึ้นมา ทำให้สภาพของตนดูย่ำแย่กว่าเดิม
“เจ้าคอยฟังคำพูดของข้าอยู่ข้างใน ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้เพื่อร่วมมือกับข้าใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นมา
“บาดแผลของพวกเราไม่ร้ายแรง อีกทั้งพวกเรายังมีถึงสามคน ถึงแม้เอ้อร์โก่วจะเป็นคนเริ่มก่อน แต่เจ้านั่นก็อาจกล่าวหาว่าพวกข้ารุมกลั่นแกล้งเขา หากเปลี่ยนเรื่องให้เป็นฝ่ายเราที่อ่อนแอถูกรังแก อีกฝ่ายที่ชื่อเสียงไม่ดีมาตั้งแต่แรกก็จะไม่มีใครเข้าข้าง”
“ถึงเจ้าไม่ทำอย่างนี้…”
“ไม่ทำเช่นนี้คงหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ เดี๋ยวก็ยุ่งยากเสียเปล่า ๆ เหตุใดต้องเสียเวลาในเมื่อมีหนทางที่ง่ายกว่า?” ลู่ฉาวอวี่พูดเรียบ ๆ
“เช่นนั้นบอกข้ามา เหตุใดถึงไม่ยอมรับว่าพวกเราทำจริง ๆ อย่างไรเสียเอ้อร์โก่วก็เป็นคนเริ่มก่อน พวกเรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง”
“ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นแล้ว มีคนอิจฉาไม่น้อย หากพวกเราเหิมเกริม ชาวบ้านก็จะรังเกียจเรา แสดงความอ่อนแอแล้วก็ต้องแสดงความเข้มแข็งด้วย แสดงความอ่อนแอเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้าใจ พวกเราไม่ใช่คนก่อเรื่องก่อน แสดงความเข้มแข็งก็เพื่อทำให้คนพวกนั้นได้รู้ซึ้งว่า หากไม่วุ่นวายกับพวกเราก็คุยกันง่าย แต่ถ้ายังมาล่วงเกินพวกเรา เช่นนั้นเราก็จะตัดกรงเล็บให้เหี้ยน”
มู่ซืออวี่ลูบหัวของลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่ตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงปัดมือนางออก “อย่ามาลูบ ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย”
“แน่นอนเจ้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยไม่คิดมากมายเช่นเจ้าหรอก” มู่ซืออวี่กล่าว “อายุน้อยแค่นี้จะกังวลมากมายไปไย เดี๋ยวก็แก่ก่อนวัยพอดี จริงสิ น้าของเจ้าเป็นลมไปแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ท่านพี่…” มู่เจิ้งหานพิงอยู่กับหน้าต่าง “แหะ ๆ”
มู่ซืออวี่เห็นเด็ก ๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“เด็กหัวหมอพวกนี้ ภายหน้าใครเป็นศัตรูของพวกเจ้าคงโชคร้ายแล้ว”
ยามบ่าย ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่าพี่ป้าน้าอาก็เริ่มขึ้น หัวข้อในวันนี้เป็น ‘ได้ยินหรือยัง? ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว’ ทุกคนจึงพูดคุยกันในหัวข้อจู่ปู้คือตำแหน่งทางการอะไร มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนไหน
หลังจากกระจ่างแล้ว ทุกคนล้วนตะลึงงัน ตำแหน่งจู่ปู้นี้สำหรับพวกเขาแล้วเป็นตำแหน่งทางการที่ ‘ใหญ่โต’ รับผิดชอบมากมายหลายสิ่ง
“ลู่เซวียน เจ้าว่าชุ่ยของบ้านเราเป็นอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...