ลู่จื่ออวิ๋นกำลังเล่นอยู่กับเสี่ยวเฮย ทันทีที่เห็นมู่ซืออวี่ออกมาก็ร้องเรียกเสียงเจื้อยแจ้ว “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว”
“อ๊ะ หิวแล้วใช่หรือไม่? อีกเดี๋ยวแม่จะเตรียมอะไรให้เจ้ากิน” มู่ซืออวี่ยิ้ม
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนั้น?” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาใสซื่อของตน “เหมือนลูกท้อเลย งามจริง ๆ”
มู่ซืออวี่รู้สึกอับอาย ไม่รู้จะตอบคำถามของลู่จื่ออวิ๋นอย่างไร
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยไม่รอคอยคำตอบของมารดา “ปากท่านถูกยุงกัดหรือ? ทั้งแดงทั้งบวมเลยเชียว”
“อะแฮ่ม!” เสียงลู่เซวียนกระแอมเบา ๆ ดังมาจากทางหน้าต่าง “อวิ๋นเอ๋อร์ มาช่วยอารดน้ำดอกไม้เร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งปร๋อไปที่ห้องของลู่เซวียน
มู่ซืออวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้า และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง
“ท่านพี่” มู่เจิ้งหานเรียกนางจากข้างนอก
ตอนที่มู่ซืออวี่เดินออกมา ลู่ฉาวอวี่ก็เปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้ว
มู่เจิ้งหานยื่นตะกร้าที่ถือเอาไว้ให้นางแล้วพูดว่า “ท่านแม่บอกว่าเมื่อวานนี้ท่านเหนื่อย วันนี้จะต้องตื่นไม่ทันเป็นแน่ ก็เลยทำแป้งทอดมาให้มากหน่อย”
“ขอบคุณนะ” มู่ซืออวี่กล่าว “เช่นนั้นข้าจะทำแกงข้าวโพดทานกับแป้งทอดก็แล้วกัน”
“ได้เลย” มู่เจิ้งหานมองมู่ซืออวี่อย่างสงสัย “ท่านพี่ ท่านถูกยุงกัดหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยกับมู่เจิ้งหานว่า “ท่านอาจารย์บอกให้ท่องจำ ท่องได้แล้วหรือ?”
มู่เจิ้งหาน “….”
เขาเป็นน้าแท้ ๆ แต่กลับไม่มีอำนาจบารเลยจริง ๆ
ลู่อี้เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ดวงตาสีนิลหยุดลงที่ร่างกายของมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่หันไปมองก็พบว่าลู่อี้ยังผมเปียกชื้น น้ำหลายหยดตรึงอยู่บนใบหน้า ดวงตาสีนิลคู่นั้นทั้งลึกล้ำและดำสนิท หากสบตาก็คงกระชากวิญญาณของคนได้ นางจึงไม่กล้าที่จะสบตาเขา
“ดูเหมือนว่าที่บ้านพวกท่านจะมียุงเยอะ พี่เขยก็ถูกกัดเช่นกัน” มู่เจิ้งหานครุ่นคิด “อีกเดี๋ยวข้าจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรฆ่ายุงมารมเสียหน่อย”
“ถ้ามีเวลาว่างเช่นนี้ ไม่สู้เอาไปจดจำการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้ดีกว่าหรือ อีกเดี๋ยวข้าจะดูว่าที่ท่านเขียนออกมานั้นท่านจำได้แค่ไหน” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
มู่เจิ้งหานรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าเป็นน้าของเจ้านะ”
“แต่ในแง่ของการเล่าเรียน ท่านเป็นศิษย์น้อง” ลู่ฉาวอวี่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ลืมครึ่งปีไปแล้วหรือ? ตอนนี้หนึ่งเดือนแล้วนะ”
มู่เจิ้งหานจึงไม่กล้าพูดอีก
มู่ซืออวี่กำลังทำแกงข้าวโพด ครั้นเห็นลู่อี้เข้ามาจึงขยับหนี ทว่าลู่อี้จับนางไว้แล้วผลักนางไปข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะก่อไฟ”
นางได้แต่เหลือบมองเขา
“ฮูหยินไม่พอใจข้าหรือ?” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ
“ไม่กล้า ข้าจะกล้าไม่พอใจใต้เท้าลู่ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น
ระหว่างอาหารเช้า ทุกคนกินแป้งทอดและแกงข้าวโพดอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดเปิดปากพูด บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองลู่อี้ จากนั้นก็หันไปมองมู่ซืออวี่แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้พวกท่านพาอวิ๋นเอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่นได้หรือไม่?”
“วันนี้เชิญท่านหมอจูมาแล้ว เกรงว่าจะไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่น” มู่ซืออวี่กล่าว
“ว้า…” เด็กน้อยก้มหน้าลงแล้วดื่มแกงข้าวโพดต่อ
มู่ซืออวี่เห็นลูกสาวเป็นเช่นนี้ก็ทนไม่ได้
ช่วงนี้ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานวุ่นอยู่กับการเรียน ลู่เซวียนวุ่นอยู่กับสำนักศึกษาและเขียนหนังสือ ลู่จื่ออวิ๋นกลายมาเป็นคนที่เหงาหงอยที่สุด เวลานี้คงเบื่อกระมัง
“น้องสามี วันนี้เจ้าไม่ต้องไปสอนหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“วันนี้หยุดพักผ่อน” ลู่เซวียนตอบ
“เช่นนั้นข้ามีคำแนะนำ เจ้าก็เห็นว่าครอบครัวเราแทบจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน มิเช่นนั้นพวกเราออกไปกินลมชมทิวทัศน์กันเป็นอย่างไร? ถึงตอนนั้นก็เชิญท่านหมอจูไปด้วย เช่นนี้ก็ฟังดูเข้าท่านะ”
“กินลมชมทิวทัศน์คืออะไรหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...