“เอาล่ะ ชายไร้ยางอายผู้นั้นไสหัวไปแล้ว ข้าขอขอบคุณทุกท่านสำหรับวันนี้ เราสามัคคีกันอย่างสุดความสามารถ จนข้ามผ่านช่วงเวลาวิกฤตไปได้! แม่ฉาวอวี่พูดถูก เราทุกคนอยู่ในหมู่บ้านของตระกูลลู่ ต่างก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน เราย่อมไม่สบายใจหากรู้ว่าคนในครอบครัวต้องพบกับการรุกรานของอันธพาล คนโง่เขลาเช่นนี้ไม่สมควรที่เราจะสนใจ นั่งลงแล้วกินดื่มตามสบายเถิด” เหยาซื่อกล่าวต่อแขกทุกคน
จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยถามมู่ซืออวี่ “แม่ฉาวอวี่ จัดเตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว?”
มูซืออวี่ที่กำลังมองลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับเหยาซื่อทันทีที่ได้ยิน “ใกล้เสร็จแล้ว ข้าต้องขอตัวไปทำต่อให้แล้วเสร็จ อาหารจะพร้อมภายในหนึ่งก้านธูป”
“ขออภัยที่ทำให้ต้องลำบากนะ” เหยาซื่อหัวเราะ
มู่ซืออวี่ก้มลงกล่าวกับเหล่าเด็กหญิงว่า “ขอบใจพวกเจ้าที่เล่นกับอวิ๋นเอ๋อร์นะ วันนี้ข้ายังไม่ว่าง พรุ่งนี้มาที่บ้านข้าสิ ข้าจะทำอาหารรสเลิศให้กิน”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องดี ๆ เช่นนี้เป็นการตอบแทน จึงกล่าวขอบคุณอย่างมีความสุข
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่จื่ออวิ๋นมีเพื่อนมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางไม่คุ้นเคยกับมันในตอนแรก แต่เด็กผู้หญิงในชนบทมีความกระตือรือร้นสูง ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานสำหรับพวกนางในการปรับเข้าหากัน
อาหารรสเลิศถูกนำออกมาวางทีละจาน
เห็นได้ชัดว่าอาหารมีส่วนผสมที่เรียบง่าย หลังจากผ่านมือของมู่ซืออวี่แล้วก็ราวกับมีเวทมนตร์ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วสนาม อาหารเหล่านั้นถูกปรุงและตกแต่งอย่างสวยงามราวกับภาพวาด ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
“ไปหาแม่ครัวใหญ่ผู้นี้จากที่ใดหรือ? เหตุใดจึงดูมีทักษะสูงเช่นนี้?” เหมิงซื่อกล่าว
เหยาซื่อตอบกลับอย่างเฉยเมย “นางไม่ใช่แม่ครัวใหญ่จากที่ใด แต่เป็นคนในหมู่บ้านของเรานี่แหละ ท่านคงได้เห็นนางแล้วเมื่อครู่ นางคือหญิงผู้ที่บอกให้เราแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ นางดูเชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่อง ข้าเลยขอความช่วยเหลือจากนาง”
“ฝีมือการทำอาหารของนางไม่ด้อยไปกว่าแม่ครัวใหญ่ในเมืองหลวงเลยล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเหยาซื่อยังคงเฉยเมย เหมิงซื่อจึงพยายามพูดคุยกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น แต่เพราะนางเป็นคนเงอะงะ จึงไม่ได้คุยไปมากกว่านี้เท่าไรนัก
จางเซินดึงลู่ต้าจู้ไปด้านข้างพลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่เชื่อที่ไอ้สารเลวผู้นั้นกล่าวใช่หรือไม่? หากเชื่อก็เท่ากับว่าเจ้าดูถูกน้องสาวของข้า นั่นเป็นสิ่งที่มันต้องการเพียงผู้เดียว น้องสาวของข้าไม่เคยเต็มใจข้องเกี่ยวกับมัน”
ลู่ต้าจู้กล่าวว่า“อย่ากังวลเลย ข้าไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น เหมิงต้าจวินไม่ใช่คนน่าเชื่อถืออะไร สิ่งที่เขาพูดหลอกลวงได้เพียงผู้ที่ไร้สมองเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นแน่ แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวของเจ้า…” จางเซินขมวดคิ้ว “ข้ารู้ว่าเรื่องราวเช่นนี้ทำให้ครอบครัวของเจ้าต้องเสียหน้า แต่น้องสาวของข้าก็อับอายไม่น้อยเช่นเดียวกัน!”
“ข้าจะคุยกับท่านแม่เอง ท่านแม่ไม่ใช่คนใจแคบอะไร แต่ตอนนี้นางแค่ไม่พอใจเท่านั้น พอรู้ว่าโม่หลานเป็นคนดีมากเพียงใด ก็คงหายขุ่นเคืองใจไปเอง”
เหยาซื่อไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงปฏิบัติต่อเหมิงซื่ออย่างเย็นชา และไม่ต้องการเอ่ยสิ่งใดไปมากกว่านี้
พ่อของลู่ต้าจู้และพ่อของจางเซินต่างก็เป็นผู้ชายใจกว้าง ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มากนัก
“ข้าขออภัย ทำน้ำแกงหกใส่เสียได้”
ถังซื่อเดินผ่านถงซื่อ ตั้งใจเทน้ำแกงในชามลงบนตัวถงซื่อ
น้ำแกงไม่ร้อน แต่เต็มไปด้วยน้ำมัน สุดท้ายก็เปื้อนเต็มเสื้อผ้าใหม่ที่มู่ซืออวี่ซื้อให้ถงซื่อ
กลุ่มคนที่อยู่รอบตัวพวกนางรู้ถึงความคับข้องใจของสองครอบครัวนี้ดี แต่ไม่มีใครคิดว่าทุกอย่างจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่จนดึงดูดความสนใจของผู้คน เมื่อเห็นดังนั้นถังซื่อจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ถง นี่คือเสื้อผ้าไหมไม่ใช่หรือ? ตายจริง จะซักให้สะอาดได้อย่างไรกัน”
ถงซื่อพยายามเช็ดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าด้วยมือของตน แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งสกปรก ความเจ็บปวดนั้นอัดแน่นอยู่ในใจ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับถังซื่อ นางก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
แม้ถังซื่อจะตั้งใจทำเช่นนั้น แต่ความกลัวที่ฝังแน่นในกระดูกดำของนางก็ทำให้ไม่อาจต้านทานผู้ใดได้ เช่นเดียวกับตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ช่วงเวลาในตอนนี้วุ่นวายยิ่งนัก เหล่าชายหนุ่มกำลังเปลี่ยนแก้วน้ำและจัดวางอาหารกันอย่างวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...